มู่ไคเวยฟังแล้วยิ้มอย่างเป็นปริศนา นางสลัดรองเท้าหุ้มแข้งออกแล้วปีนขึ้นเตียง “ท่านอ๋องขึ้นมาบนเตียงสิ ข้าจะชี้ให้ดู”
ฟู่จิ่นซีรับคำแล้วปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย เขานั่งขัดสมาธิ เนตรหงส์ฉายแววอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ มู่ไคเวยพูดอย่างไม่มีจริตเขินอายว่า “ภายนอกอาจดูไม่เปลี่ยน แต่ภายในเปลี่ยนไปเยอะ เป็นต้นว่าระหว่างที่พวกเรากำลังหลับสนิทตอนกลางคืนแล้วเกิดมีคนร้ายบุกเข้าจวนมาใกล้ๆ พวกเราหรือขึ้นมาบนเตียงแล้ว ก็ให้ทำเช่นนี้!”
มู่ไคเวยกระตุกเชือกเส้นเล็กตรงมุมเตียงที่ตอนแรกไม่มีใครมองเห็นอย่างรวดเร็ว นางคำนวณไว้แล้วว่าจะ ‘ล่อลวง’ คังอ๋องขึ้นเตียงมา และกระตุกเชือกเส้นเล็ก ทำให้แหตาถี่ที่ซ่อนอยู่เหนือเตียงแผ่กว้างทิ้งตัวลงมา แล้วนางจะเผ่นหลบไปอย่างง่ายดาย ปล่อยให้คังอ๋องผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวโดนแหครอบร่างอย่างไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้เลย
หญิงสาวนึกวาดภาพใบหน้าหล่อเหลาที่ชอบมองนางอย่างไร้เดียงสาแล้วนึกอยากจะกระเซ้าเขา แหย่เขา และปกป้องเขา ไม่ให้ผู้อื่นมารังแก ทว่าช่างไม้หญิงสองคนทำแหตาถี่เก่งมากจริงๆ เพราะนับตั้งแต่ตอนที่มู่ไคเวยกระตุกกลไกจนแหทิ้งตัวลงมา กินเวลาไม่ถึงครึ่งอึดใจซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไวมากจนกลายเป็นตัวนางเองที่เร็วไม่พอ
สาเหตุที่นางหลบไม่พ้น เพราะมือข้างหนึ่งถูกคังอ๋องคว้าจับไว้ และนางไม่อาจสลัดมือเขาทิ้งไป
ทำให้ทั้งสองคน ‘ติดกับ’ ด้วยกัน มู่ไคเวยที่คิดจะแกล้งเขาหัวเราะลั่น “ข้าติดกับตัวเองบนเตียงตัวเองเช่นนี้ เรียกว่าให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวใช่หรือไม่” หญิงสาวช้อนขนตาขึ้น “คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเล่นไม้นี้เป็นด้วย”
ตอนแรกฟู่จิ่นซียังเดาไม่ได้ แต่ทันทีที่เห็นนางกระตุกเชือกเส้นเล็ก สมองเขาก็ตามทันความคิดนางทันที
จะชั่วจะดีอย่างไร เขาก็เคยเจอไม้นี้ในห้องส่วนตัวของบุตรสาวสกุลมู่มาก่อน ประกอบกับที่ครั้งนี้หญิงสาวไม่ได้กระตุกกลไกไวมากเลยทำให้เขาสามารถเดาแผนของนางได้ เขาเลยจงใจคว้าแขนนางเอาไว้
นึกถึงราตรีที่เขาเข้าไปถึงเตียงนางแต่กลับไม่อาจตัดใจวางยา ทำให้ตัวเองต้องตกที่นั่งลำบากเพราะนาง…บัดนี้ ความทรงจำเหล่านั้นกลับสร้างความรู้สึกหวานล้ำ ทำให้หัวใจของชายหนุ่มอ่อนยวบลง
มู่ไคเวยเห็นฟู่จิ่นซีเอาแต่จดจ้องนาง ริมฝีปากรูปกระจับของเขาเผยอขึ้นคล้ายอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่ได้กล่าวออกมา ทำให้ลมหายใจของหญิงสาวสะดุด