ชายหนุ่มกัดกรามแน่น เนตรหงส์ฉ่ำน้ำ ต้องรีบซ่อนใบหน้าครึ่งหนึ่งเข้าไปไว้ในผ้าห่มเพื่อปรับลมหายใจสักพักกว่าที่น้ำเสียงทุ้มต่ำจะดังออกมาจากผ้าห่มว่า “เมื่อครู่ตอนที่หลีอ๋องเข้ามาฉุกละหุกมาก เจ้าไปเอากระบี่มาจากที่ใดกัน” ตอนนั้นฟู่จิ่นซีนั่งนิ่งอยู่บนเตียง เขาเห็นมู่ไคเวยแตะเอวตัวเองก่อนโผนร่างออกไปโดยมีอาวุธพร้อมอยู่ในมือแล้ว
มู่ไคเวยหัวเราะ ตามองชุดแต่งงานสีแดงสดกับมงกุฎไข่มุกที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ย “รูปแบบชุดแต่งงานซับซ้อนมาก ทบไปทับมา หากข้าอยากจะซ่อนกระบี่ไว้ที่เอวสักเล่มย่อมไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น” ประโยคสุดท้าย สีหน้าของหญิงสาวฉายแววภูมิใจ
นางพกดาบขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว พกดาบเข้าพิธีแต่งงาน และพกดาบเข้าห้องหอ
ใต้หล้านี้คงมีแต่ชายาเขาคนเดียวที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้
ฟู่จิ่นซีนึกขำอยู่ในใจ เนตรหงส์หรี่มองพวงแก้มสีท้อของหญิงสาวแล้วพลันได้ยินนางพูดเสียงเบา
“จะว่าไป…ถ้าศิษย์พี่ใหญ่กลับมาส่งตัวเจ้าสาว เขาต้องเป็นคนแบกข้าขึ้นเกี้ยวข้าคงถูกเขาจับได้แน่ แต่ตอนนี้เขาทำธุระบางอย่างอยู่ทางตะวันตก และกำหนดแต่งงานก็กระชั้นมากเลยทำให้เขามาไม่ได้…” มู่ไคเวยนิ่งไปนิดแล้วยืดไหล่ทั้งสองข้างขึ้น เหมือนจะจาระไนเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังว่า “แต่โชคดีที่ยังมีพี่น้องในหน่วยประตูหกบานที่สนิทกัน ทั้งปี้โถว พี่ใหญ่จิ่ง เถี่ยต่านและเอ้อร์หม่า พวกเขาจัดขบวนตามมาส่งเจ้าสาวด้วย ทำให้คึกคักมากขึ้น”
ม่านตาของฟู่จิ่นซีหดลง เขารู้สึกเย็นสันหลังวาบๆ เล็กน้อยว่าภรรยาที่เพิ่งแต่งเข้ามาหมาดๆ เพราะความเห็นแก่ตัวของเขากำลังพูดถึงศิษย์พี่ใหญ่ของนางด้วยสีหน้าไม่ปกติ มองผาดๆ เหมือนนางจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ถ้าพิศดูให้ดีจะพบว่าในความผิดหวังนั้นมีความคิดถึงอย่างลึกซึ้งปะปน
ชายหนุ่มจึงเลื่อนใบหน้าทั้งหมดออกจากโปงผ้าห่มและถามเหมือนชวนคุย “ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า เมิ่งอวิ๋นเจิงคือมือปราบเทวดาคนปัจจุบัน ทุกแคว้น ทุกชนเผ่า ทุกพื้นที่ของราชวงศ์เทียนเฉาและใกล้เคียงล้วนต้องทำตามแผ่นป้ายเหล็กนิลที่อยู่ในมือเขาทั้งสิ้น ว่ากันว่าเมิ่งอวิ๋นเจิงเคยบุกเดี่ยวทลายรังโจรที่มีจำนวนกว่าห้าร้อยคน และยังไล่ล่าคนร้ายที่เที่ยววางพิษสังหารขุนนางตามแคว้นต่างๆ แล้วพาตัวข้ามแคว้นมารับโทษได้สำเร็จ…ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมมาก”
ใบหน้ารูปไข่อ่อนเยาว์หันมามองเขา มู่ไคเวยพยักหน้ารัวๆ เหมือนทุบกระเทียม “ใช่ๆ ศิษย์พี่ใหญ่ข้าเก่งมากๆๆ จริงๆ! แม้แต่ท่านพ่อยังบอกเลยว่าเขาเก่งเกินหน้าอาจารย์ ท่านพ่อบอกว่าสมัยที่ท่านอายุเท่าศิษย์พี่ใหญ่ ฝีไม้ลายมือของท่านยังสู้ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ นอกจากท่านพ่อแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนที่มีวรยุทธ์ร้ายกาจที่สุดที่ข้าเคยเจอ!”
ฟู่จิ่นซีต้องลอบกล้ำกลืนความรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่ได้ยินชายาของตัวเองชมศิษย์พี่ใหญ่ว่าเก่งเช่นนั้นเช่นนี้ แต่แล้วจู่ๆ เขากลับเห็นสีหน้าของนางเปลี่ยนไปจนอดถามไม่ได้ว่า “เป็นอะไรไป มีเรื่องอะไรหรือ”
มู่ไคเวยยิ้มน้อยๆ พลางส่ายหน้า “ไม่มีอะไร แค่จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เคยประมือกับบุรุษชุดดำสวมหน้ากากคนหนึ่ง วรยุทธ์ของเขาร้ายกาจมาก”