มู่ไคเวยรับรู้ได้ว่านางกำลังทับฟู่จิ่นซีเต็มๆ และเพราะกลัวว่าจะทับเขาแบน นางจึงคิดจะถอยห่างออกไปแต่กลับได้ยินเสียงเขาหัวเราะอย่างโง่งมเหมือนคนยังไม่ตื่นจากหลับว่า “ในที่สุด…ข้าก็กอดเจ้าได้แล้ว ใช่หรือไม่”
หญิงสาวถอยไปไม่ได้เพราะคังอ๋องกางแขนออกรัดร่างนางไว้แนบอกทันที
และไม่เพียงแค่นี้ เพราะเขายังซุกหน้าหล่อเหลาที่ขาวซีดอย่างคนป่วยแต่ตอนนี้เริ่มมีสีแดงระเรื่อเข้ามาที่ซอกคอของนาง พร้อมพลิกร่างกดนางลงกับเตียงอย่างไม่ยอมให้เหลือช่องว่างระหว่างกัน
“เวยเวย…เวยเวย…เจ้าดีต่อข้าเหลือเกิน ดีมาก…ดีมากๆ…หอมเหลือเกิน…” เขาละเมอแล้วนอนนิ่งไม่ขยับอีก
สมองของมู่ไคเวยคิดวิธี ‘เหวี่ยงคน’ ออกมาได้เจ็ดแปดวิธี แต่สุดท้าย นางกลับไม่ได้ใช้สักวิธี
เวยเวย?!
เขาเรียกนางว่า…เวยเวย
นั่นมันชื่อเล่นที่ท่านแม่ตั้งให้ และมีแต่ท่านแม่เท่านั้นที่เรียกนางเช่นนี้ ท่านแม่เพียงคนเดียว
แต่ฟู่จิ่นซีกลับเรียกชื่อนี้ด้วยน้ำเสียงอู้อี้เหมือนเขาเคยเรียกอยู่ในใจมานับครั้งไม่ถ้วนจนคล่องปาก
และทำให้ลมหายใจของนางสะดุด ขอบตาร้อนผ่าวอย่างใกล้จะห้ามตัวเองไว้ไม่อยู่
สุดท้ายมู่ไคเวยเลยถูกชายหนุ่มกึ่งกดกึ่งกอดอยู่อย่างนั้น คู่แต่งงานใหม่เอาแต่นอนขี้เกียจอยู่บนเตียงอย่างไม่มีใครยอมขยับในเช้าหลังวันเข้าหอจนหญิงสาวเผลอหลับไปอีกเมื่อไรก็ไม่ทราบ และหลับยาวไปถึงเที่ยงกว่าจะตื่น
หมดแล้วหมดกัน หมดอย่างไม่เหลืออะไรเลย
ราตรีวสันต์มีค่าพันตำลึงทอง นี่เท่ากับหมดไปพันตำลึงทองเลยสินี่
ในคืนเข้าหอของคังอ๋อง คนสองคนที่ควรจะหลงวนอยู่ในห้วงเสน่หากลับนอนกลิ้งไปกลิ้งมาเช่นนี้ มีเรื่อง ‘มัดติดเตียง’ เสียที่ใด และอะไรคือการ ‘ถูกผ้าแพรแดงที่แต่งห้องหอมัดขึงพืด’?
แต่ในเมื่อคังอ๋องไม่ได้อยากแก้ต่างให้ตัวเอง มู่ไคเวยเลยไม่สนใจ
ช่วงระยะเวลาหลายวันที่คู่แต่งงานใหม่น่าจะได้เฝ้าเคลียคลอกัน มู่ไคเวยที่เป็นพระชายาคังอ๋องหมาดๆ กลับมีงานยุ่งมาก เพราะภายใน แม้งานในจวนคังอ๋องจะมีหลันกูกูกับหัวหน้าพ่อบ้านคอยช่วย แต่ยังมีปัญหาใหม่ๆ ที่นางต้องสะสางเองไม่น้อย นอกจากนี้หญิงสาวยังต้องสืบหาข้อมูลจากคนในจวนทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ด้วยความหวังว่าจะเจอเบาะแสที่เกี่ยวกับเฮยซานสักเล็กน้อย