คนดูแลสวนสมุนไพรที่เรือนด้านหลังคือท่านยายชิง นางมีใบหน้ากลม รูปร่างผอมบาง และเป็นคนคุยเก่งชนิดพอได้เปิดปากแล้วเป็นหยุดไม่ได้ ทำให้หลายวันที่ผ่านมา มู่ไคเวยเลียบเคียงเรื่องส่วนตัวของหลายๆ คนในจวนอ๋องจากอีกฝ่ายได้ไม่น้อย ทำให้นางสามารถจัดการคนและธุระต่างๆ ในจวนอ๋องได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
เวลานี้ มู่ไคเวยเดินมาสวนสมุนไพร นางอ้างว่าอยากมาดูว่าที่สวนสมุนไพรปลูกต้นอะไรไว้บ้าง และชวนท่านยายชิงคุยเล่นเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
หลังฟังคำถามของนาง ท่านยายชิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจดี “ใช่แล้วเจ้าค่ะ หลังจากที่ท่านอ๋องกับพระชายาไปเกิดเรื่องข้างนอกได้หนึ่งปี ท่านอ๋องที่ตอนนั้นอายุแค่แปดเก้าขวบก็กลับมาที่เมืองหลวง นอกจากจะมีบ่าวรับใช้ชายรูปร่างกำยำคนหนึ่งติดตามมาด้วยแล้ว ยังมีแม่เฒ่าอีกคนจริงๆ…อ้อ ที่แท้พระชายาก็ห่วงท่านอ๋องนี่เอง ดีแล้วเจ้าค่ะ ดีแล้ว คนเป็นสามีภรรยากันต้องห่วงกันเช่นนี้ล่ะ ก่อนหน้านี้พระชายาถามว่าบ่าวรับใช้ชายที่ตามท่านอ๋องมาคือใคร ข้าได้บอกและชี้ให้ท่านดูแล้ว ส่วนแม่เฒ่าที่ท่านถามถึงวันนี้ หุๆ ข้าสารภาพก็ได้ว่าข้ารู้จักนางเจ้าค่ะ”
ตอนเกิดเหตุการณ์ปล้นชิงที่ซานชวนโข่วเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ฟู่จิ่นซีที่ยังเยาว์วัยได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติ ถามไม่ได้ความอะไรเลย มู่ไคเวยจึงตั้งใจไปสอบถามจากคนที่อยู่ข้างกายเขาในตอนนั้นแทน ซึ่งก็คือพ่อบ้านชราที่ชื่อเหล่าเซวีย เขามีตำแหน่งพิเศษอยู่ในจวน แม้จะไม่ได้เป็นหัวหน้าพ่อบ้าน แต่ก็มีอำนาจเหนือคนอื่นๆ
นางตามตัวเหล่าเซวียมาสอบถามเรื่องการปล้นชิงที่ซานชวนโข่ว เหล่าเซวียให้ความเคารพนบนอบนางอย่างมาก มู่ไคเวยถามอะไร เขาก็ตอบตามนั้น เพียงแต่เนื้อหาที่ได้ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อสิ่งที่หญิงสาวอยากรู้มากนัก
“เรียนพระชายา พวกโจรสลัดมีจำนวนมากและโอบล้อมกันเข้ามา เหตุการณ์ในตอนนั้นชุลมุนมาก ท่านอ๋องกับพระชายาสั่งให้ข้าอุ้มท่านอ๋องที่ตอนนั้นยังเป็นแค่ซื่อจื่อหนี ข้าเลยวิ่งสุดชีวิต บนชายฝั่งแถวซานชวนโข่วมีดงต้นกกสูงเท่าเอวคน พวกเราเลยมุดเข้าไป มุดแล้วมุดอีก มุดจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด แล้วจู่ๆ ข้างหน้าก็มีแสงสว่าง ทำให้ข้าได้พบกับที่พักของหมอเทวดา สวรรค์ช่างปรานีพวกเราแท้ๆ”
มู่ไคเวยบอกไม่ได้ว่ามีสิ่งผิดปกติที่ใด แต่สัญชาตญาณของนางบอกว่ามันมีบางสิ่งแปลกๆ
เหล่าเซวียตอบอย่างไม่ต้องหยุดคิดและไหลลื่นดีมาก คล้ายรู้แต่แรกแล้วว่าจะต้องถูกถามคำถามนี้เลยเตรียมคำตอบเอาไว้พร้อมสรรพ
ทว่า…หญิงสาวกลับไม่รู้สึกถึงเจตนาร้ายที่แอบแฝงอยู่
และไม่เพียงไม่มีเจตนาร้าย หากตอนที่ร่างเตี้ยล่ำ หลังค่อมนิดๆ ของเหล่าเซวียยืนตอบคำถามนาง เขาคอยช้อนสายตามองมู่ไคเวยเป็นระยะ จากสายตาและท่าทางเช่นนั้นเหมือนเขาอยากจะมองนางให้ละเอียด แต่ด้วยฐานะของบ่าวทำให้เขาไม่กล้าเสียมารยาทถึงเพียงนั้น
เมื่อหมดคำถาม มู่ไคเวยสังเกตเห็นเหล่าเซวียแอบก้มหน้าปาดเหงื่อทำให้นางรู้สึกแปลกใจและอดคิดไม่ได้ว่าตนเผลอวางมาดของหน่วยประตูหกบานยามปฏิบัติงานออกไปหรือไม่ ถึงได้ทำให้บ่าวอาวุโสตกใจเช่นนี้
มู่ไคเวยจึงวางมือจากเหล่าเซวียชั่วคราวและวางแผนจะถามผู้อื่นแทน
“บ่าวหญิงอาวุโสที่พระชายาถามคนนั้นอยู่ที่ใดหรือ ทางนั้นไงเจ้าคะ นางนั่นล่ะ” ท่านยายชิงยืดแขนยาวเพื่อใช้นิ้วผอมๆ ชี้ให้นางดู
มู่ไคเวยมองตามไปก็พบว่ามีบ่าวหญิงอาวุโสอายุเกือบเจ็ดสิบปี รูปร่างค่อนข้างเตี้ยและอ้วนคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ ใช้เสียมพลิกดินอยู่อีกด้านของสวนสมุนไพร