ชายาสะท้านแผ่นดิน
ทดลองอ่าน ชายาสะท้านแผ่นดิน บทนำ – บทที่ 8
บทที่ 2
รัตติกาลมืดมิด หมู่ดาวระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้ายามราตรีกาล ดวงจันทร์ทอแสงสุกสกาว
ภายในคฤหาสน์ของจื่อเจวี๋ย จวินอวิ๋น บ้านอันแสนซอมซ่อของลั่วอวี่ยากนักที่จะปรากฏแสงโคมสว่างไสว มีเสียงผู้คนระเบ็งเซ็งแซ่สอดแทรกด้วยเสียงขับร้องบรรเลงมโหรีเป็นระยะ
ลั่วอวี่ได้ยินแล้วหยักยิ้มมุมปาก ปัดๆ เสื้อผ้าบุรุษเนื้อหยาบสีฟ้าอ่อนบนร่างตน ก่อนจะย่างเท้าเข้าไปด้วยท่าทางสบายๆ
ภายในลานบ้าน กลุ่มนักดนตรีกำลังร้องขับกล่อมบรรเลง
กลางห้องโถงใหญ่ด้านหน้า จวินอวิ๋นและเฟยเยียนผู้เป็นบิดามารดาของนางนั่งอยู่ในตำแหน่งเจ้าบ้าน สีหน้าของคนทั้งสองดูสงบนิ่งคล้ายมีความไม่พอใจเจืออยู่จางๆ
ส่วนที่ตำแหน่งของแขกมีบุรุษวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กำยำยิ่งผู้หนึ่งนั่งอยู่ สีหน้าดูไม่สนใจไยดีแกมหยามหยัน
ข้างกายของเขามีเด็กสาวอายุราวสิบหกนั่งอยู่ด้วย รูปโฉมโนมพรรณสวยสะคราญราวกุหลาบดอกหนึ่ง เข้าตำราที่ว่าดวงพักตร์ลักษณาดุจบุปผาและดวงเดือน หากแต่น่าเสียดาย ท่าทางไม่พออกพอใจและดูหมิ่นดูแคลนที่ปรากฏชัดบนดวงหน้างามกลับทำให้แลละม้ายคล้ายดอกกุหลาบปีศาจสีน้ำเงิน
อีกฟากของที่นั่งแขกเหรื่อ ยามนี้มีท่านเจ้าเมืองซึ่งกำลังยิ้มร่านั่งอยู่ สีหน้าท่าทางประจบสอพลอ ทำให้ใบหน้าที่ยามปกตินับว่าพอถูไถไปได้ เวลานี้กลับทำให้คนเห็นแล้วอยากอาเจียน ที่ด้านหลังของเขามีขุนนางในเมืองร่วมผลติดตามมาด้วยหลายคน ล้วนแต่มีสีหน้าท่าทางไม่ต่างกัน
คิดแล้วก็จริง แม้บิดาของนางกับจวินเฉินผู้นี้จะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต ทว่าความสูงต่ำของฐานะและยศถาบรรดาศักดิ์กลับปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
บิดาของนางเป็นเพียงจื่อเจวี๋ยผู้ไร้อำนาจ ส่วนจวินเฉินผู้นั้นเป็นถึงขุนนางป๋อเจวี๋ยผู้เป็นที่กล่าวขวัญไปทั้งแผ่นดิน
การแบ่งบรรดาศักดิ์กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน รวมห้าขั้นมิใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับลั่วอวี่ สมัยที่โลกของนางปกครองโดยราชสำนักก็ใช้ระบบบรรดาศักดิ์เช่นนี้มิใช่หรือ หากเจ้าเมืองจะประจบสอพลอย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ทันทีที่ลั่วอวี่เหยียบย่างเข้าสู่ห้องโถง นางกวาดตามองปราดเดียวก็พอจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เหตุใดคืนนี้จึงได้ครึกครื้นนัก” นางพูดพลางค่อยๆ สาวเท้าเดินไปทางบิดามารดาซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งเจ้าบ้าน
พอเฟยเยียนเห็นลั่วอวี่ซึ่งหายหน้าหายตาไปเก็บใบชาถึงสามวันกลับมาแล้วก็ยิ้มพลางกวักมือเรียกบุตรสาวให้เข้าไปหา “เข้ามา อวี่เอ๋อร์ มานั่งตรงนี้”
ลั่วอวี่ได้ยินก็รับคำแล้วเดินตรงไปหามารดาทันที ไม่แม้แต่จะชายหางตามองท่านเจ้าเมืองและผู้ที่มีศักดิ์เป็นลุงสามของนางแม้แต่น้อย ท่าทางเหมือนเด็กไร้ผู้คนที่บ้านคอยอบรมบ่มนิสัย
จริงดังคาด บุรุษและเด็กสาวผู้มาเยือนพลันขมวดคิ้วพร้อมกัน แววตาเหยียดหยันยิ่งฉายชัด
“เศษสวะ” ป๋อเจวี๋ยจวินเฉินเห็นเช่นนี้ถึงกับผรุสวาทออกมาอย่างเยียบเย็น
“อวี่เอ๋อร์ คารวะท่านลุงสามกับพี่ลั่วเฉินเสียก่อนสิ” บิดาของลั่วอวี่กล่าวแทรกขึ้นมาพอดี เอ่ยเตือนลั่วอวี่คำหนึ่ง
ทันทีที่สิ้นเสียงคนทั้งสอง บรรยากาศภายในห้องโถงพลันกระอักกระอ่วนขึ้นทันที สีหน้าของจวินอวิ๋นและเฟยเยียนออกจะไม่สู้ดีนัก
ลั่วอวี่ชะงักฝีเท้า เหลียวไปมองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก
จวินเฉินเห็นลั่วอวี่มองประเมินเขาอย่างไม่ปิดบังอำพรางแม้แต่น้อย ความดูแคลนในแววตาของเขายิ่งจะแจ้ง สายตาจับนิ่งอยู่ที่ปานแดงบนใบหน้าของลั่วอวี่ ใบหน้าปรากฏแววเหยียดหยามและสะอิดสะเอียน
เดิมคิดว่าฝ่าบาททรงลืมสัญญาหมั้นหมายครั้งนั้นไปแล้ว ปีนี้องค์ชายสามจะมีอายุครบสิบเจ็ดปี สมควรแก่เวลาที่จะเริ่มเตรียมการเลือกสรรพระชายา เขากำลังหมายมั่นปั้นมือจะอาศัยรูปโฉมและฐานะของบุตรสาว รวมถึงอิทธิพลของจวนกั๋วกง ส่งตัวบุตรสาวขึ้นครองตำแหน่งพระชายา นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทกลับยังไม่ลืมคำมั่นในครานั้น ทั้งยังมีราชโองการให้ลั่วอวี่เข้าวัง โดยอ้างเสียน่าฟังว่าเพื่อจะได้บ่มเพาะความใกล้ชิดสนิทสนมกับองค์ชาย ช่างเป็นเรื่องที่ชวนให้โทสะพวยพุ่งนัก
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำเอาสั่นสะเทือนไปทั้งวงศ์สกุล ต้องรีบยกเรื่องหญิงอัปลักษณ์ที่เกือบจะลืมเลือนไปแล้วขึ้นเป็นเรื่องสำคัญเหนือเศียรเหนือเกล้า ครั้งนี้เขาบังเอิญตรวจราชการอยู่ที่เมืองข้างเคียงพอดี ทางจวนกั๋วกงได้ส่งพิราบสื่อสารแจ้งให้เขามาอารักขาเด็กสาวผู้อัปลักษณ์อย่างที่สุดนางนี้
ปกติแค่ให้เขาเหลือบมองสตรีขี้ริ้วขี้เหร่เช่นนี้เพียงแวบเดียวยังอยากอาเจียน ตอนนี้ถึงกับให้เขาคุ้มครองนาง ช่างน่าโมโหนัก! จวินเฉินคิดถึงตรงนี้ แววตาดูแคลนและขยะแขยงยิ่งรุนแรงแจ่มชัด
ส่วนลั่วเฉินที่อยู่ข้างกายยังแสดงออกโจ่งแจ้งยิ่งกว่าบิดาของนางเสียอีก สีหน้าเต็มไปด้วยความริษยาและเคียดแค้น
เดิมทีตำแหน่งพระชายาควรเป็นของนาง เวลานี้กลับตกไปอยู่ในมือของหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้เสียแล้ว ราวจะยั่วให้นางคับแค้นใจตาย
ลั่วเฉินพลันลุกขึ้นมา สืบเท้าขึ้นหน้ามาสองสามก้าว แล้วเดินวนรอบตัวลั่วอวี่อย่างสำรวจตรวจตราพลางกล่าววาจาเจ็บแสบด้วยเสียงเฉียบ “ขี้ริ้วขี้เหร่ถึงเพียงนี้ ช่างทำให้คนอยากอาเจียน อัปลักษณ์เช่นนี้ต่อให้ได้ขึ้นเป็นพระชายา ไม่ช้าก็เร็วย่อมหนีไม่พ้นชะตากรรมถูกปลด ไม่สู้รีบตายๆ ไปเสียให้สิ้นเรื่อง จะได้ไม่ต้องอยู่รกหูรกตาผู้คน”
“หลานลั่วเฉิน ระวังคำพูดด้วย เจ้า”
เพียะ!
ถ้อยคำเชือดเฉือนทิ่มแทงของลั่วเฉินถูกน้ำเสียงเดือดดาลของจวินอวิ๋นขัดขึ้น ทว่าทันใดนั้นเสียงตบฉาดก็ดังกังวานขึ้นอย่างชัดเจน ลั่วเฉินซึ่งกำลังพล่ามด่าถูกตบจนหน้าหัน พริบตาเดียวก็ปรากฏรอยปื้นแดงขึ้นบนหน้านวล
ในห้องโถงเงียบกริบไปทันที ทุกคนในที่นั้นมองลั่วเฉินที่ถูกตบด้วยอาการปากอ้าตาค้าง ข้างกายนางไม่มีคนลงมือ นี่
“เจ้าตบข้า” หลังจากความเงียบผ่านพ้นไป ลั่วเฉินก็เต้นเร่าๆ ขึ้นมาทันที ดวงหน้างามราวดอกกุหลาบบัดนี้บิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น ทว่าแม้จะตวาดเสียงกราดเกรี้ยว แต่นางก็รู้ตัวดีว่าข้อกล่าวหานี้ฟังไม่ขึ้น ผู้คนมากมายล้วนประจักษ์อยู่กับตา ลั่วอวี่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา ต่อให้อยากโยนความผิดให้ลั่วอวี่เพียงใดก็ไม่อาจทำได้
ลั่วเฉินถลึงตาใส่ลั่วอวี่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทั้งยังกล่าวปรามาสอย่างเจ็บแสบ “น้ำหน้าอย่างเจ้าหรือ ไม่มีปัญญาหรอก”
จบคำนางก็หันไปมองความว่างเปล่าที่อยู่เบื้องหน้าอย่างดุดันพลางสาดวาจาด่าทอ “ใคร! ใครมันบังอาจตบหน้าข้า จงไสหัวออกมา ไสหัวออกมา”
เพียะ!
เสียงฉาดดังขึ้นอีกครั้ง ลั่วเฉินคล้ายถูกตบจนร่างซวนเซ ซีกหน้าอีกข้างพลันปรากฏริ้วแดง
“ผู้ใดกัน!” จวินเฉินหน้าดำคร่ำเครียด ลุกพรวดพราดขึ้นมา แววตาเย็นเยียบกวาดมองไปยังน้องห้าและน้องสะใภ้ที่กำลังมีสีหน้าประหลาดใจแวบหนึ่ง
น้องห้าสูญสิ้นพลังยุทธ์ น้องสะใภ้ก็ไร้พลังยุทธ์ ลั่วอวี่ยิ่งเป็นเหมือนเศษสวะในกองขยะ ผู้ใดกันที่ลงมือ
“กล้าตบข้าเรอะ ข้าจะฆ่าเจ้า” ลั่วเฉินปลดปล่อยพลังยุทธ์สีส้ม ชักกระบี่จากเอว ระดมฟาดฟันความว่างเปล่ารอบกายอย่างบ้าคลั่ง
เพียะๆ!
ใครเลยจะคาดคิดว่านางเพิ่งจะพูดจบ พลังอันไร้ตัวตนกลับฝ่าทะลวงม่านพลังและรัศมีกระบี่ของนางเข้ามา แล้วลงมือตบอีกสองฉาด
ร่างของลั่วเฉินส่ายโงนเงน เสียหลักล้มลงไปกองกับพื้น กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ในนั้นมีฟันขาววาววามซี่หนึ่งปนอยู่ด้วย
“ท่านพ่อ” ลั่วเฉินทั้งเจ็บใจทั้งแค้นใจ นางไม่เห็นว่าผู้ใดตบนาง นี่มันเรื่องอันใดกัน
จวินเฉินเพลิงโทสะลุกโหม พุ่งถลันออกมา ทางหนึ่งช่วยพยุงร่างบุตรสาว ทางหนึ่งก็ตวาดเสียงกร้าว “ใครกัน! หากแน่จริงก็จงก้าวออกมา หดหัวอยู่เช่นนี้หรือเรียกว่าแน่จริง หากยังไม่สำแดงตัว ข้าขอสาปแช่งให้โคตรเหง้าเจ้า”
ลั่วอวี่ฟังมาถึงตรงนี้สีหน้าพลันเยียบเย็น นางดีดนิ้วไปทางจวินเฉินซึ่งกำลังโกรธเกรี้ยวครั้งหนึ่ง
ตึง!
พริบตานั้นจวินเฉินที่พุ่งพรวดออกมาพลันแข้งขาอ่อน ทิ้งร่างลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าลั่วอวี่
ทั่วทั้งห้องโถงเงียบกริบในทันที ทุกคนต่างมองจวินเฉินที่คุกเข่าอยู่ด้วยความตื่นตะลึง รวมถึงลั่วเฉินซึ่งกำลังเอะอะโวยวายด้วย
ท่ามกลางบรรยากาศอันแปลกพิสดาร ลั่วอวี่ปัดๆ เสื้อผ้าตามเนื้อตัว มองจวินเฉินแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “ไฉนท่านลุงต้องทำถึงเพียงนี้ ท่านคารวะผู้น้อยเยี่ยงนี้ไม่เท่ากับแช่งหลานให้อายุสั้นหรอกหรือ”
พูดมาถึงตรงนี้นางพลันเปลี่ยนน้ำเสียงอย่างฉับพลัน “แต่ไม่อบรมบุตรสาวถือเป็นความผิดของบิดา จวินลั่วเฉินกล่าววาจาร้ายกาจ คงเพราะขาดการอบรมสั่งสอนเป็นแน่แท้ ท่านลุงจะไถ่โทษแทนย่อมเป็นการสมควร เช่นนั้นถือว่าหลานรับการขอขมาในครั้งนี้ก็แล้วกัน ท่านลุงจงลุกขึ้นเถิด”
กล่าวจบลั่วอวี่ก็ตวัดชายแขนเสื้อ เดินไปยังข้างกายบิดามารดาอย่างดูเป็นธรรมชาติยิ่ง จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่ง
จวินอวิ๋นและเฟยเยียนสบตากันแล้วหันไปมองบุตรสาวที่มีท่าทางไม่สะทกสะท้าน จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปยังพี่สามที่ยังคงคุกเข่าแข็งค้างอยู่ท่าเดิม นี่
ความเงียบความเงียบอันผิดวิสัยภายในห้องโถงยิ่งขับเน้นให้เสียงดนตรีที่ลอยแว่วมาจากลานบ้านฟังดูน่าอกสั่นขวัญแขวน
ในยามนี้จวินเฟยซึ่งเร้นกายอยู่ใต้ความมืดยามราตรีกำลังเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ
พวกจวินอวิ๋นอาจไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น แต่เขารู้ นี่คือวรยุทธ์พิลึกพิลั่นของลั่วอวี่! พลังวัตรอะไรนั่นช่างเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์นัก
หลังจากความเงียบกริบชั่วครู่ผ่านพ้น
“อ่ะแฮ่ม เอ่อ ใต้เท้าป๋อเจวี๋ย ในเมื่อท่านท่านก็สำนึกผิดแล้ว เช่นนั้นเชิญท่านลุกขึ้นเถิดขอรับ” เจ้าเมืองที่มีสีหน้าซีดเผือดฝืนยิ้มแล้วพยายามพูดแก้ไขสถานการณ์
ใต้เท้าป๋อเจวี๋ยผู้นี้จู่ๆ ก็เกิดสำนึกผิดและขอขมา ช่างเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แต่ในเมื่อใต้เท้าป๋อเจวี๋ยมีความตระหนักรู้และใจกว้าง พวกเขาย่อมสมควรยกย่องชื่นชม เพียงแต่ลั่วอวี่ออกปากว่าไม่ต้องแล้ว เหตุใดเขาจึงยังคุกเข่าอยู่อีก นี่
จวินเฉินซึ่งยังคงคุกเข่าอยู่กลางห้องโถงดังเดิม ยามนี้แม้แต่ความคิดสังหารคนก็ผุดขึ้นมาแล้ว
เขาอยากคุกเข่า? เขาสำนึกผิด? เขาไม่อยากลุกขึ้น?
น่าตายนัก นัยน์ตาข้างไหนของคนพวกนี้ที่เห็นว่าเขาไม่อยากลุกขึ้น แท้จริงแล้วเขาลุกไม่ขึ้น ทั้งไม่อาจเอ่ยวาจาต่างหาก!
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกเพียงว่าหัวเข่าเริ่มชาวูบ ลำคอขมปร่า จากนั้นก็กลับกลายมาอยู่ในสภาพนี้ เขาคล้ายถูกตบจนฟันร่วงเลือดกบปาก อยากพูดแต่พูดไม่ได้
ลั่วอวี่ซึ่งนั่งอยู่เห็นเช่นนี้จึงดีดพลังดรรชนีไปที่กลางอากาศก่อนถึงร่างจวินเฉินเล็กน้อย
“ท่านพ่อ ลุกขึ้นสิ ลุก”
ลั่วเฉินซึ่งอยู่ข้างกายกำลังออกแรงฉุดรั้งบิดาให้ลุกขึ้น ฉับพลันนั้นเองจวินเฉินก็ลุกพรวดพราดขึ้นยืน ทำให้ลั่วเฉินที่ออกแรงฉุดดึงมากเกินไปเสียหลักซวนเซล้มลงไปนั่งกับพื้น
จวินเฉินไม่สนใจลั่วเฉินที่ล้มลงไป สองตาจับนิ่งไปยังลั่วอวี่
ลั่วอวี่ยื่นมือไปหยิบจอกสุราของบิดาที่อยู่บนโต๊ะมาหมุนเล่นไปมาบนปลายนิ้ว ราวกับรับรู้ได้ถึงสายตาของจวินเฉิน หัวคิ้วหางตากระตุกเล็กน้อย แล้วส่งสายตากลับไปอย่างเฉยเมย
แววตานั้นสงบนิ่งไร้รอยกระเพื่อมไหวประหนึ่งสระน้ำลึก ดำมืดจนทำให้คนเห็นแล้วตัวสั่นสะท้าน
ใช่ ตัวสั่นสะท้าน จวินเฉินพลันสยิวกายด้วยความหนาวเหน็บ เป็นไปได้อย่างไร เหตุใดลั่วอวี่จึงมีแววตาเช่นนี้ นี่
ลั่วอวี่กวาดมองจวินเฉินปราดหนึ่ง จากนั้นก็ไม่แยแสเขาอีก ปลายนิ้วไล้ผ่านจอกสุรา สายตาเลื่อนไปที่ลานกลางบ้าน มุมปากยกหยักเป็นเส้นโค้ง เอื้อนเอ่ยวาจาอย่างเชื่องช้า “ในเมื่อมาแล้วก็ออกมาเถอะ”
ถ้อยคำเรียบเรื่อยราวสายลมโชยเอื่อย หากแต่ได้พัดพาระลอกคลื่นสู่ผิวน้ำ จวินอวิ๋น จวินเฉิน และคนอื่นๆ ต่างตะลึงงัน
ระหว่างที่พวกเขากำลังงุนงงอยู่นั่นเอง เหล่านักดนตรีที่ดีดสีตีเป่าอยู่ในลานบ้านก็บุกจู่โจมเข้ามา เห็นเพียงแสงสีเงินสว่างวาบ กระบี่เงินคมกริบเล่มหนึ่งแหวกอากาศตรงดิ่งเข้าหาลั่วอวี่
“ระวัง!” จวินอวิ๋นร้องเสียงหลง
จวินเฉินสองตาเบิกโพลง พลังยุทธ์สีเขียวพลันแผ่ปกคลุมทั่วร่าง เขากวัดแกว่งขวานผ่าภูผาในมือพลางตวาดกร้าว “ผู้ใดกล้าลงมือ!”
ขวานผ่าภูผาโบกสกัดกระบี่คมกริบที่ทะลวงเข้ามา
เวลานี้ลั่วอวี่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของสกุลจวิน หากนางมีอันเป็นไป ตำแหน่งพระชายาอ๋องสามย่อมไม่มีทางตกเป็นของจวนกั๋วกงม่วงพราวเป็นแน่แท้ เหล่าผู้อาวุโสในสกุลจะต้องฉีกร่างเขาเป็นชิ้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
กระบี่เงินแหวกอากาศเข้ามาอย่างรวดเร็ว จวินเฉินก็ว่องไวไม่แพ้กัน ขวานพุ่งเข้าขวางหน้าแล้วจามลงเต็มแรง
เคร้ง!
อาวุธทั้งสองพุ่งปะทะกัน หลังได้ยินเพียงเสียงโลหะกระทบกันดังสะเทือนเลื่อนลั่น ขวานผ่าภูผาในมือของจวินเฉินผู้ฝึกปรือจนมีพลังยุทธ์สีเขียวกลับกระดอนขึ้นไปแล้วร่วงหล่นลงมา ส่วนกระบี่เงินเล่มยาวกลับยังพุ่งเข้าหาลั่วอวี่ด้วยความเร็วที่ไม่ลดน้อยลงเลย
พลังยุทธ์ยังเหนือกว่าจวินเฉิน! จวินเฉินและจวินอวิ๋นสีหน้าแปรเปลี่ยนในทันที
แม้พลังยุทธ์ในกายของจวินอวิ๋นจะสูญสิ้น หากแต่สายตายังเฉียบคม เมื่อเห็นท่าไม่ดีเขาก็พุ่งกระโจนเข้าหาลั่วอวี่ที่อยู่ข้างกายทันทีโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด
บุตรสาวของเขาเขาจะปล่อยให้พวกมันสังหารเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
กระบี่ยาวพุ่งฝ่าอากาศ รวดเร็วราวสายฟ้าฟาด จวินอวิ๋นปราศจากพลังยุทธ์ ความเร็วย่อมไม่อาจเทียบกระบี่คมเล่มนั้น เห็นอยู่ว่าลั่วอวี่จะถูกแทงทะลุร่างอยู่แล้ว จวินอวิ๋นนัยน์ตาแดงก่ำไปด้วยโลหิต แผดเสียงตะโกนลั่น “ไม่”
เคร้ง!
จังหวะเดียวกับที่จวินอวิ๋นแผดเสียงร้อง พลันเกิดเสียงปะทะดังกังวานขึ้นเบื้องหน้าของลั่วอวี่ กระบี่ยาวสีเงินที่พุ่งทะลวงเข้ามาชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ไม่อาจล่วงล้ำเข้ามาได้
เสียงร้องของจวินอวิ๋นพลันค้างอยู่ในลำคอ
เบื้องหน้า ลั่วอวี่ถือจอกด้วยมือข้างเดียว ปากจอกหันออกด้านนอก ส่วนปลายกระบี่สีเงินเล่มนั้นปักอยู่ในจอกสุรา
กระบี่ยาวที่แม้แต่จวินเฉินยังไม่อาจรับมือได้ กลับถูกจอกสุราของลั่วอวี่สกัดไว้ได้ นี่มัน
จวินอวิ๋นนัยน์ตาเบิกโพลง ปล่อยให้ตนเองเซถลาเข้าใส่ลั่วอวี่อย่างยั้งไม่อยู่
ลั่วอวี่มือหนึ่งถือจอก มือหนึ่งพยุงร่างจวินอวิ๋นไว้ เมื่อประคองร่างบิดาให้ตั้งหลักได้แล้วก็หันมายิ้มให้แล้วว่า “ท่านพ่อ วางใจเถิด ข้าหาใช่คนไม่เอาไหนไม่”
พูดจบร่างของลั่วอวี่พลันพุ่งถลันไปยืนอยู่กลางห้องโถง
“มีฝีมือแค่นี้หมายจะเอาชีวิตข้า ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ” จบคำลั่วอวี่ก็สะบัดมือ จอกสุราและกระบี่ที่ติดมาด้วยแตกสะบั้นเป็นเสี่ยงๆ อยู่บนพื้น
ลั่วอวี่พลันเคลื่อนไหว นิ้วทั้งห้างอดั่งตะขอคม พุ่งเข้าใส่เหล่านักดนตรีจอมปลอม
คนจากจวนกั๋วกงทั้งสองซึ่งปลอมตัวเป็นคณะนักดนตรีคงคาดไม่ถึงว่าหญิงอัปลักษณ์ลั่วอวี่ที่เล่าลือกันว่าไม่มีความสามารถสักอย่างกลับต้านรับกระบี่ของพวกเขาได้ เห็นชัดว่าแตกต่างจากเรื่องราวที่ได้ยินมา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นถึงคนของจวนกั๋วกงใหญ่ทั้งสอง หลังจากตะลึงงันไปครู่หนึ่งก็รีบตะโกนส่งสัญญาณ พากันจู่โจมเข้าใส่ลั่วอวี่
“สังหารมัน เอาชีวิตพี่น้องของเราคืนมา วันนี้เราต้องกำจัดขุนนางกังฉินหลูเฉิงเฟยให้จงได้”
ลั่วอวี่ได้ยินแล้ว ดวงตาเต็มไปด้วยแววหยามเหยียด
ไม่กล้าสังหารนางซึ่งหน้า ทำทีเป็นมาสังหารเจ้าเมือง ถึงเวลาหากนางมีอันเป็นไปก็อ้างว่าถูกลูกหลง แน่นอนย่อมต้องมีแพะรับบาป นับว่าจวนกั๋วกงทั้งสองคิดคำนวณมาอย่างรอบคอบ
ส่วนขุนนางกังฉินหลูเฉิงเฟยที่ถูกอ้างถึงนั้นมีสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาพลัน กลัวลนลานจนแทบฉี่รดกางเกง รีบกระเสือกกระสนไปหลบที่ด้านหลังจวินเฉินและจวินอวิ๋น
สังหารเขา?
เขาไม่เคยล่วงเกินผู้ใดเลย!
สถานการณ์พลิกผันฉับพลัน งานเลี้ยงกลับกลายเป็นลานประหาร
ขุนนางน้อยใหญ่ของเมืองร่วมผลที่นั่งอยู่ในงานต่างหวาดผวาจนหน้าซีดเผือด พากันถอยหนีอุตลุด
สายลมพัดผ่านยอดไม้ ในคืนเงียบสงัดกลับคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่า
ลั่วอวี่ซึ่งสวมชุดสีฟ้าอ่อนทั้งตัว เท้าหาได้แตะสัมผัสถูกพื้นดิน เงาร่างพลิ้วไหวคล้ายภูตผีปีศาจ ทุกแห่งที่กรายผ่านจะได้ยินเสียงกระดูกหักลั่นขึ้น เงาร่างค่อยๆ ร่วงผล็อยลงทีละร่าง แต่ไม่มีใครเห็นถนัดตาเลยว่าลั่วอวี่ลงมือด้วยวิธีใด
“พี่สามรีบไปช่วยลั่วอวี่” เฟยเยียนซึ่งเวลานี้เพิ่งหวนคืนสติกรีดร้องอย่างตื่นตระหนก แต่ยังพูดไม่ทันจบก็ไม่รู้จะพูดต่ออย่างไรเสียแล้ว
จวินเฉินซึ่งยืนทื่ออยู่กลางห้องโถงได้แต่เฝ้ามองการเข่นฆ่า มุมปากกระตุก ไม่ได้ตอบคำ แต่กลับเผลอยกมือขึ้นลูบลำคอโดยไม่รู้ตัวพลางสยิวกายด้วยความหนาวเหน็บ
ฝีมือเช่นนี้ฝีมือเช่นนี้เมื่อครู่ผู้ที่ลอบเล่นงานพวกเขาต้องเป็นลั่วอวี่แน่นอน เป็นนางที่ตบลั่วเฉิน เป็นนางที่บังคับให้เขาต้องคุกเข่าให้
คิดมาถึงตรงนี้สีหน้าของจวินเฉินก็ซีดเผือดในพริบตา หากลั่วอวี่คิดจะสังหารพวกเขาล่ะก็ เมื่อครู่คง
ความเงียบความเงียบที่ทำให้ผู้คนอึดอัดหายใจไม่ออกสลับกับความลุ้นระทึก
จวินอวิ๋นนิ่งเงียบ จวินเฉินนิ่งเงียบ เฟยเยียนก็นิ่งเงียบ แม้แต่ลั่วเฉินผู้เย่อหยิ่งราวนกยูงยังได้แต่นิ่งเงียบ
นี่หรือเด็กสาวอัปลักษณ์ลั่วอวี่ผู้ไร้พลังยุทธ์
ทันทีที่รวบคอนักดนตรีคนสุดท้ายเอาไว้ได้ ลั่วอวี่ก็ตวัดปลายเท้าขึ้นเตะอย่างไม่ปรานีปราศรัย
เสียงพลั่กดังขึ้นทีหนึ่ง ชายผู้นั้นไม่ทันได้ร้องสักแอะ ลำคอก็หักพับลง
ลั่วอวี่พลิกฝ่ามือทีหนึ่งโยนบุรุษที่ตายคามือนางทิ้งไป จากนั้นเพียงตวัดปลายเท้าลงกับพื้นคราหนึ่ง ธนูยาวสีเงินที่ตกอยู่บนพื้นก็ลอยขึ้นมาอยู่ในมือของนางทันที ครั้นสะกิดปลายเท้าติดต่อกันหลายครั้ง กระบี่ยาวห้าเล่มก็กระดอนขึ้นมาอยู่ในมือ นางพุ่งทะยานขึ้นแล้วม้วนตัวตีลังกากลับหลัง ไปยืนเด่นอยู่เหนือยอดหลังคา ก่อนจะหมุนตัวเหวี่ยงดาบ ง้างธนู ทุกสิ่งจบลงในชั่วอึดใจเดียว
เพียงยินเสียงขวับหนักๆ ครั้งหนึ่ง กระบี่ทั้งห้าก็พุ่งแหวกฟ้ามืดไป
ฉึก ฉึก ฉึก
ท่ามกลางราตรีดำทะมึน มีเสียงอาวุธกระทบกันสองครั้งตามมาด้วยเสียงครางหนักๆ อีกสามครั้ง ดังชัดถนัดหู
หัวคิ้วของลั่วอวี่ขยับเข้าหากัน รอดไปได้สอง! นางทะยานร่างขึ้นหมายจะไล่ตาม
ชาติที่แล้วนางเป็นคนของกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ หลักการที่ยึดถือคือจะไม่สังหารเกินขอบเขตเป็นอันขาด แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะยอมปล่อยผู้ปองร้ายนางและคนในครอบครัวของนางไป
ผู้อื่นเคารพข้าหนึ่งเชียะ ข้าเคารพคืนหนึ่งจั้ง หากใครล่วงเกินข้า แม้นต้องตามไล่ล่าพันลี้ ก็ต้องปลิดชีพมันให้ได้
สำหรับศัตรูแล้ว ลั่วอวี่ไม่เคยยั้งมือไว้ไมตรี
ทว่านางยังไม่ทันออกไล่ตามไปกลับต้องขมวดคิ้วมุ่น ร่างชะงักค้างฉับพลัน นางหมุนตัวกลับช้าๆ หันหน้าเข้าหาความมืดด้านหลัง
คันธนูในมือหมุนเบน น้าวขึ้น เล็งไปยังความดำมืด
“หึๆ พวกเรามิใช่ศัตรู”
จังหวะเดียวกับที่ลั่วอวี่น้าวคันธนูขึ้นเล็ง น้ำเสียงที่ยากจะปิดบังความประหลาดใจก็ดังขึ้นมาตามหลังเสียงหัวเราะ จากนั้นคนหลายคนก็ก้าวออกมาจากความมืด
คนทั้งห้าท่าทางอิดโรยอ่อนล้า ดูเหมือนจะเร่งเดินทางรอนแรมมาทั้งวันทั้งคืน
“พี่รอง”
“พี่รอง”
เมื่อบุรุษวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าปรากฏตัวขึ้น จวินเฉินและจวินอวิ๋นต่างร้องเรียกด้วยความประหลาดใจ
ป๋อเจวี๋ยจวินลู่แห่งจวนกั๋วกงม่วงพราว แม้ดูไม่องอาจห้าวหาญเท่าจวินเฉิน ทว่าก็มีความสุขุมลุ่มลึกของปัญญาชนอยู่ในที เขาหัวเราะพลางขานรับคำทักทาย จากนั้นก็หันไปมองลั่วอวี่ที่ยืนเด่นอยู่บนหลังคา คันธนูในมือยังคงเล็งมาทางพวกเขา เขาจึงเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “เก็บอาวุธเสียเถิด ข้าบอกแล้ว พวกเราหาใช่ศัตรู”
ลั่วอวี่ได้ยินเช่นนั้นก็กวาดตามองพวกเขาคราหนึ่งแล้วลดธนูในมือลงช้าๆ
“อวี่เอ๋อร์ มา ท่านนี้คือท่านลุงรองของเจ้า” จวินอวิ๋นรู้สึกยินดียิ่งนัก แววตาที่มองลั่วอวี่แม้จะเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่กลับสว่างไสวดุจดวงตะวัน เวลานี้เขาพยายามกดข่มความลิงโลด หันมากล่าวกับลั่วอวี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ลั่วอวี่เห็นใบหน้าของบิดาที่กำลังข่มกลั้นความตื่นเต้นดีใจจึงค่อยๆ ผ่อนคลายท่าทีเหี้ยมเกรียมดุดันลง ดวงหน้าปรากฏรอยยิ้มบางเบา นางทิ้งร่างลงจากหลังคามายืนอยู่ตรงหน้าจวินอวิ๋น แล้วเอ่ยทักทายเสียงราบเรียบ “ท่านลุงรอง”
จวินลู่มองประเมินลั่วอวี่ตั้งแต่หัวจรดเท้าคราหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะแล้วว่า “หากรู้แต่แรก พวกเราคงไม่ต้องรีบร้อนเดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อมาคุ้มครองเจ้า ใครเลยจะคาดคิดว่าลั่วอวี่ที่เล่าลือกันว่าเป็นคนไม่เอาไหนที่สุดในจวนกั๋วกงม่วงพราว บัดนี้กลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ พวกเรามีตาหามีแววไม่”
พูดจบจวินลู่ก็ลูบเคราครึ้มที่อยู่ใต้คาง หัวเราะด้วยความพึงพอใจ
ด้านหลังจวินลู่มีผู้ติดตามหลายคนล้วนมีอายุอานามรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ได้ยินว่าเป็นกลุ่มผู้อาวุโส ทุกคนพลอยหัวเราะตามจวินลู่ไปด้วย
แม้วิชาต่อสู้จะพิลึกพิสดาร แต่ทรงอานุภาพก็เพียงพอแล้ว
ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายไม่ยินดียินร้าย
ผู้แข็งแกร่งจึงจะอยู่รอด เป็นสัจธรรมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาแต่โบราณ ผู้เข้มแข็งย่อมอยู่เหนือคนทั้งปวง ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อเสมอ นี่คือวิถีแห่งการอยู่รอดที่มีมาช้านาน ไม่มีสิ่งใดต้องตัดพ้อ และไม่มีสิ่งใดต้องขุ่นเคือง ก็แค่ญาติแปลกหน้าไม่กี่คนเท่านั้น
ถึงตอนนี้เจ้าเมืองร่วมผลและคนอื่นๆ ที่ขวัญกระเจิง ในที่สุดก็ได้สติกลับคืนมา แต่ละคนตีหน้ายิ้มแย้มกรูเข้ามากล่าววาจายกยอปอปั้นจนเลยเถิด แทบจะเปรียบลั่วอวี่เป็นเทพจุติลงมา ท่าทางประจบสอพลอของคนเหล่านั้นทำให้ลั่วอวี่เห็นแล้วขนลุกชันขึ้นมาทันที
“อวี่เอ๋อร์” เฟยเยียนเข้ามาโอบเอวลั่วอวี่ ตื่นเต้นเสียจนหน้าแดง
“ไว้ข้าจะอธิบายให้ท่านแม่ฟังทีหลัง” ลั่วอวี่ขยิบตา ส่งยิ้มให้ผู้เป็นมารดา
เฟยเยียนพยักหน้าแล้วกอดลั่วอวี่ไว้ ไม่ได้ซักไซ้อันใดอีก
ฝูงชนในห้องโถงต่างยินดีปรีดา มีเพียงลั่วอวี่ที่มีสีหน้าเฉยเมยเหมือนไม่มีอะไร จวินลู่เป็นผู้มีสายตาเฉียบคมเหนือคนทั่วไป เขามองลั่วอวี่ยิ้มๆ แล้วกล่าวว่า “อดีตเป็นเพราะพวกลุงเลอะเลือน ละเลยเจ้าไป ลุงรองต้องขออภัยแทนทุกคนด้วย แต่อุปสรรคสร้างยอดคน นับเป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง เจ้าอย่าโกรธเคืองจวนกั๋วกงไปเลย ถึงอย่างไรที่นั่นก็เป็นบ้านของเจ้ากับพ่อแม่ มีลูกหลานที่ไหนโกรธเคืองครอบครัวตนเองกัน”
ลั่วอวี่ได้ยินลุงรองกล่าวเช่นนี้ก็อดยกนิ้วให้ไม่ได้
มธุรสวาจาโดยแท้ กล่าวได้ครอบคลุมรอบคอบ มีเหตุมีผล ออกตัวขอโทษก่อน เมื่อเปรียบกับความแข็งกร้าวตรงไปตรงมาของบิดานับว่ามีชั้นเชิงเหนือกว่ามาก หากนางไม่ยอมรับ กลับจะถูกมองว่าเป็นคนใจคอคับแคบ
ทว่านางคือลั่วอวี่ หาใช่ผู้อื่น
“ข้าเป็นคนใจแคบ”
ลั่วอวี่เลิกคิ้วคลี่ยิ้มน้อยๆ มองจวินลู่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม คำพูดเพียงประโยคเดียวของนางปิดกั้นจวินลู่จนเขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี
ขณะที่บรรยากาศเริ่มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จู่ๆ จวินอวิ๋นผู้เคยบังคับบัญชาหน่วยองครักษ์ก็โพล่งขึ้นมา “ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
แม้จะเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาโฉดเขลา เรื่องนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่คนร้ายจะพุ่งเป้ามาที่เจ้าเมืองเล็กๆ ผู้นี้
จวินลู่ได้ยินแล้วหันไปพูดกับจวินอวิ๋นด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ก็มิใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพียงแต่ข้าผู้เป็นพี่ต้องขอแสดงความยินดีกับน้องห้าและน้องสะใภ้ก่อน ฝ่าบาททรงมีราชโองการให้ลั่วอวี่เข้าเมืองหลวง ทรงเตรียมการให้ลั่วอวี่และองค์ชายสามได้ทำความรู้จักสนิทสนมกัน เพื่อที่อีกหนึ่งปีให้หลังเมื่อองค์ชายสามเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว จะได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสแต่งตั้งพระชายาได้ทันที”
ทันทีที่พูดจบ นัยน์ตาของจวินอวิ๋นก็เปล่งประกายเจิดจ้า
เฟยเยียนดวงตาเบิกกว้างคล้ายไม่อยากจะเชื่อ
แม้ปกตินางจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกับลั่วอวี่ไม่ได้หยุดหย่อน แต่นางนึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงรังเกียจเดียดฉันท์ลั่วอวี่ของนางจริงๆ
ส่วนเจ้าเมืองร่วมผลและเหล่าขุนนางที่ได้ยินถ้อยคำดังกล่าว หลังจากเพิ่งสรรเสริญเยินยอเรื่องวรยุทธ์ของลั่วอวี่จบไป เวลานี้ยิ่งตื่นตะลึงกับข่าวนี้เข้าไปใหญ่
พระชายาองค์ชายสาม! สวรรค์ หญิงอัปลักษณ์ลั่วอวี่ที่อยู่ตรงหน้ากำลังจะกลายเป็นพระชายาในองค์ชายสาม
สวรรค์! วันนี้มีแต่เรื่องน่าตกใจทั้งนั้น! อีกาจะกลายเป็นหงส์! อีกาจะกลายเป็นหงส์แล้ว!
แต่ละคนพลันแห่แหนกันเข้าไปประจบประแจงเลียแข้งเลียขาลั่วอวี่ จวินอวิ๋นและเฟยเยียนกันไว้สุดชีวิต โชคดีที่ปกติไม่ได้ล่วงเกินพวกเขาสักเท่าใด หาไม่วันนี้คงต้องเอาหัวชนเต้าหู้ตายไปเสีย
ครู่เดียวในห้องโถงใหญ่ก็เต็มไปด้วยความครึกครื้น
“อวี่เอ๋อร์ แม่พูดไว้ไม่ผิดสินะ เจ้ายังไม่ยอมเชื่อแม่อีก ดูสิ”
“พูดกันจบแล้วใช่หรือไม่”
ท่ามกลางเสียงสรรเสริญเยินยอที่ดังอึงคะนึงจนหลังคาแทบเปิด ลั่วอวี่กวาดมองคนทุกผู้ที่อยู่รอบกายด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม แววตาหาได้เชือดเฉือน ทว่าคนที่ถูกลั่วอวี่จับจ้องกลับตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ พากันหัวเราะหึๆ แล้วหุบปาก บอกติดๆ กันว่า “พูดจบแล้วพูดจบแล้ว”
ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็ผงกศีรษะ สายตามองไปยังจวินลู่ที่ยังคงยิ้มน้อยๆ “ในเมื่อพูดกันจบแล้ว เช่นนั้นขอข้าพูดสักคำ องค์ชายสามผู้มีรูปโฉมงามกว่าอิสตรีผู้นั้น”
พอได้ยินลั่วอวี่เอ่ยออกมาเช่นนี้ จวินลู่พลันหัวเราะร่า “องค์ชายสามเป็นบุรุษรูปงามก็จริง แต่จะนำมาพูดรวมกับอิสตรีได้อย่างไร”
ลั่วอวี่พยักหน้า “ไม่นำมาพูดรวมกันก็ไม่นำมาพูดรวมกัน ไม่เป็นไร ช่วยขอบพระทัยฝ่าบาทแทนข้าที เป็นพระกรุณายิ่งนักที่ฝ่าบาทยังทรงจดจำสัญญาหมั้นหมายในครั้งนั้นได้ ทว่าเรื่องเป็นพระชายาองค์ชาย ข้าหาได้ฝักใฝ่ ยิ่งไม่สนใจจะแต่งงานกับองค์ชายสามผู้นั้น ใต้หล้ามีสตรีมากมาย สุดแท้แต่เขาจะเลือกสรร เพียงแต่อย่าลากข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเป็นพอ”
จบคำลั่วอวี่ก็ยื่นมือไปจับจูงบิดาและมารดาผู้กำลังตะลึงงันไปกับวาจาของนาง แล้วกล่าวกับจวินลู่ผู้งงงันไม่แพ้กันอีกครา “ข้าเป็นคนนิสัยไม่ดี ไม่สนใจจะเข้าไปพัวพันกับการชิงดีชิงเด่นในสกุล ทั้งยังไม่ฝักใฝ่จะเป็นใหญ่ในฝ่ายใน ในเมื่อเราเป็นบุคคลที่ถูกทอดทิ้ง เช่นนั้นก็โปรดอย่าได้แยแสเราอีกเลย ข้าไม่ได้ปรารถนาให้ท่านรับเรากลับเข้าสกุล เช่นเดียวกันท่านก็อย่าได้กีดขวางหนทางก้าวหน้าของข้า” จวินลู่เริ่มคิ้วขมวดขึ้นมาบ้าง นางจึงกล่าวต่อไปอีกว่า “หากพวกท่านชื่นชอบที่นี่ก็ยกให้พวกท่านพักอาศัย วันหน้าค่อยพบกันใหม่” สิ้นคำ มือที่เกาะกุมบุพการีไว้พลันกระชับแน่น นางใช้วิชาตัวเบาพาคนทั้งสองพุ่งทะยานออกจากคฤหาสน์ไป แม้น้ำเสียงของนางจะนุ่มนวล ทว่าเฉียบขาดเปี่ยมพลังอำนาจ ไม่เหลือหนทางให้ต่อรอง
เมื่อเห็นลั่วอวี่ จวินอวิ๋น และเฟยเยียนกำลังจะหายออกนอกประตูไป จวินลู่และผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังหลายคนต่างพุ่งทะยานคิดจะไล่ตาม “มีอะไรปรึกษากันได้ พวกเรา”
พริบตาที่พวกเขากำลังจะพุ่งออกนอกประตูไป จู่ๆ ก็มีพลังยุทธ์อันกล้าแข็งขุมหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านนอก กั้นขวางหน้าประตูไว้ราวกับแหจับปลา จวินลู่และคนอื่นๆ จำต้องหยุดชะงัก กว่าจะช่วยกันทำลายตาข่ายพลังยุทธ์ลงได้สำเร็จ บนท้องถนนยามค่ำคืนก็ไม่เหลือร่องรอยของผู้คนให้เห็นแล้ว
อย่าว่าแต่พวกลั่วอวี่สามคนเลย แม้แต่ผู้คนที่ผ่านมาในยามวิกาล พวกเขาก็ไม่เห็นสักคน
จวินลู่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู หัวคิ้วขมวดแน่นเป็นปม
“เห็นทีพวกเราคงพลาดอะไรไปมากทีเดียว”
ความมืดมิดแผ่ปกคลุมทั่วบริเวณ ค่ำคืนนี้ลมพัดกระโชกแรง