ถนนสายนี้หาใช่ทางหลวงไม่ น้อยยิ่งที่จะมีรถม้าของคนต่างถิ่นขับผ่าน ทว่าอาชาพันธุ์ดีสามตัวที่วิ่งเข้ามากลับถูกคนบนหลังตวัดแส้ควบอาชามาตลอดทาง ไม่มีทีท่าจะควบคุมความเร็วเลยแม้แต่น้อย จู่ๆ นางหนูน้อยก็ล้มขวางอยู่กลางถนน ชวนให้คนรับมือไม่ทันจริงๆ เหล่าคนที่อยู่อีกด้านพากันส่งเสียงหวีดร้อง แม้แต่หวังเฉี่ยวซึ่งกินขนมดื่มน้ำแกงอยู่ใต้เงาร่มไม้ก็ยังลุกขึ้นยืนร้องเสียงหลง กลัวว่าเงินสิบตำลึงที่ตนเองเอาไปซื้อคนมาจะหายวับไปกับตา
ครั้นเห็นว่ากีบเท้าม้ากำลังจะเหยียบลงบนร่างคน เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ซึ่งขี่อยู่บนหลังอาชาก็กระตุกเชือกบังเหียนอย่างรุนแรง พร้อมกันนั้นก็ใช้ศีรษะอาชาของตนเองกระแทกใส่อาชาพันธุ์ดีซึ่งอยู่ข้างๆ ทำให้อาชาของสหายเบี่ยงไปอีกทางหนึ่ง หลบหลีกแม่นางน้อยที่ล้มฟุบอยู่บนพื้นไปได้อย่างหวุดหวิด
อาชาที่ตามอยู่ด้านหลังถือโอกาสหยุดลงเช่นเดียวกัน เด็กชายซึ่งแต่งกายในชุดเด็กรับใช้ผู้หนึ่งพลิกกายลงจากหลังม้าอย่างฉับไวแล้ววิ่งมาด้านหน้าเพื่อเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่หยุดอาชาผู้นั้นเป็นอันดับแรก “คุณชายสี่ ท่านไม่เป็นอะไรนะขอรับ”
นัยน์ตาสีดำของเด็กหนุ่มผู้นั้นทะมึนลงเล็กน้อย เอ่ยออกคำสั่งว่า “ชิงเยี่ยน ไปดูซิว่าแม่นางน้อยผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อชิงเยี่ยนได้ยินคำสั่งของคุณชายก็รีบร้อนเดินปรี่เข้าไป เขาก้มหน้ามองดูแม่นางน้อย “นี่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่”
อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า บนใบหน้าดวงน้อยเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นธุลี ดูราวกับใกล้จะหมดลมหายใจ
ไม่รอให้นางได้ทันเอ่ยพูด หวังเฉี่ยวก็ไล่ตามมาด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดดุร้าย ตะโกนเสียงดังลั่น “อันธพาลจากที่ใดกัน ชนสะใภ้บ้านข้าจนบาดเจ็บ ถ้าไม่ชดใช้เงินก็อย่าคิดว่าจะ…”
หวังเฉี่ยวเพิ่งจะตะโกนไปได้ครึ่งเดียว สุ้มเสียงก็หยุดชะงักลงฉับพลัน เพราะว่านางมองเห็นเด็กหนุ่มรูปโฉมหล่อเหลาเหนือสามัญที่อยู่บนหลังอาชาชัดเต็มสองตา
เกรงว่านี่คงจะเป็นเทพเซียนที่ออกจากภาพวาดกระมัง บุตรชายบ้านใดหน้าตาหล่อเหลาหมดจดปานนี้หนอ
พอชิงเยี่ยนได้ยินคำตะโกนโหวกเหวกของหวังเฉี่ยว ในใจกลับไม่ชอบใจนัก…
คุณชายเจอพวกต้มตุ๋นเข้าเสียแล้ว!
เขามักจะได้ยินว่าในแถบบ้านนอกมีคนจงใจไล่สุนัขผอมหมูป่วยของตนเองมาเดินบนทางหลวงที่รถม้าสัญจรไปมาบ่อยๆ ถ้าหากถูกคนชนตายก็จะเรียกคนกลุ่มใหญ่มาขวางทาง กระชากอาชา รีดไถเงินก้อนใหญ่แล้วถึงจะยอมปล่อยตัวไป
เขานึกไม่ถึงว่าบนถนนสายเล็กๆ ในบ้านนอกคอกนาเช่นนี้จะมีคนทำอาชีพอย่างนี้ด้วย ทั้งยังใช้ชีวิตคนมารีดไถเงินอีก! ถ้าหากเมื่อครู่นี้คุณชายดึงเชือกบังเหียนหยุดอาชาไม่ทัน แม่นางน้อยผู้นี้ไม่ตายอนาถคากีบเท้าอาชาหรอกหรือ คราวนี้คุณชายเจอปัญหาใหญ่เสียแล้ว!
ครั้นชิงเยี่ยนนึกถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็ย่ำแย่ขึ้นมาทันใด เขาเอ่ยด้วยสีหน้าโมโหกราดเกรี้ยวว่า “สะใภ้ของเจ้ากระโจนมาบนถนนเอง บัดนี้บนร่างนางไม่มีแม้แต่รอยกีบเท้าม้าด้วยซ้ำ ไยพวกเราต้องชดใช้เงินด้วย”
หวังเฉี่ยวถูกถามจนนิ่งอึ้งไป แต่เมื่อเห็นเด็กหนุ่มบนหลังอาชาสวมใส่อาภรณ์สวยงามหรูหรา ดูท่าทางปวกเปียกรังแกง่าย ถ้าหากไม่เรียกเอาเงินสักก้อนคงน่าเสียดายแย่มิใช่หรือ
น่าโมโหนักที่นางหนูนี่ไม่ล้มไปบนกลางถนน ถ้าหากถูกย่ำสักสองสามทีก็จะได้เรียกค่าเสียหายเป็นค่าหมอค่ายาก้อนโต!
พอคิดถึงตรงนี้นางก็ใช้สองมือเท้าสะเอวแล้วงัดท่าทีวางอำนาจไม่ยอมใครเฉกเช่นยามอยู่ในเรือนของตนเองออกมา นางยืนขวางกลางถนนพร้อมเอ่ย “ข้าไม่สน เจ้าดูสิ นางทึ่มทื่อจนพูดไม่ออกแล้ว เพราะถูกม้าของพวกเจ้าทำให้ตกใจเสียขวัญอย่างไรเล่า! ถ้าพวกเจ้าไม่จ่ายค่าหยูกยามาก็อย่าคิดจะไปที่ใดเลย!”
เมื่อได้ยินวาจานี้ เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาหมดจดผู้นั้นก็มองดวงตะวันบนท้องนภาครู่หนึ่งอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่าทางเหมือนร้อนใจอยากจะรีบเดินทาง จึงเอ่ยกำชับสั่งอย่างเฉยชาว่า “ชิงเยี่ยน ยกถุงเหอเปา* ของเจ้าให้นางเสีย”
พอชิงเยี่ยนได้ยินคำสั่งจากผู้เป็นนายก็ไม่กล้าขัดขืน ปลดถุงเหอเปาตรงข้างเอวออกแล้วโยนให้อีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก หวังเฉี่ยวรับเอามาก็รู้สึกว่ามือหนักอึ้งในทันที ในถุงเหอเปาใบนั้นคงจะมีเงินมากถึงสองตำลึง นางเปิดออกดู และแล้วก็พบว่าเป็นก้อนเงินสีขาววาววับจริงๆ
เด็กดีๆ บุตรชายตระกูลเศรษฐีนี่ช่างมือเติบเสียจริงๆ!
ในใจนางพลันยินดีปรีดา ขณะที่กำลังจะรับเงินเอาไว้นั้น นางหนูซึ่งลุกขึ้นมานั่งอย่างช้าๆ ก็ได้สติกลับมา นางมองสำรวจตัวอักษรที่แกะสลักอยู่บนกระดิ่งบนลำคออาชา ต่อมาก็มองเด็กหนุ่มผู้มีบุคลิกไม่ธรรมดาผู้นั้นเล็กน้อย ฟังพวกเขาถกเถียงกันอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เปิดปากเอ่ยด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบาว่า “แม่สามี ตอนข้าซักผ้าอยู่ในเรือน ได้ยินอาจารย์ของสำนักวิชาที่อยู่ข้างบ้านเล่าประวัติศาสตร์ชนบทตอนที่กำลังสอนหนังสือ