บทที่ 1-2 อุบัติเหตุบนถนนในชนบท
ถนนชนบทสายนี้เป็นถนนที่ฮ่องเต้เกาจู่เสด็จผ่านเมื่อครั้งออกตรวจราชการ ฝ่าบาททรงสวมใส่ฉลองพระองค์เยี่ยงสามัญชน เผลอขี่อาชาเหยียบย่ำต้นกล้าในแถบชนบทเข้า จึงถูกชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวขวางทางเอาไว้ พระองค์ท่านมิได้โยนเงินให้จบเรื่องไป แต่กลับโทษตัวพระองค์เองที่ไม่เข้าใจถึงความยากลำบากของราษฎรในชนบท ด้วยเหตุนี้พอลงมาจากหลังอาชาจึงชักดาบสังหารอาชาเป็นการชดใช้ความผิด ในขณะเดียวกันก็ทรงประกาศพระราชโองการว่าผู้ใดที่ควบอาชาตามคันนาในเขตชนบท จะต้องถูกโบยสี่สิบไม้เป็นการลงโทษ…คุณชายยอมจ่ายเงินมากมายเพียงนี้ แสดงว่าคุณชายเองก็รู้ว่าตนเองก่อปัญหาใหญ่เข้าแล้ว ท่าน…ก็รับไว้เถิด อย่าทำให้พวกเขาลำบากใจอีกเลย”
แม้นางจะเอ่ยถ้อยคำนี้อย่างอ่อนระโหยโรยแรง ฟังดูเหมือนคำพูดเปี่ยมเมตตาช่วยเอ่ยโน้มน้าว แต่หลังจากหวังเฉี่ยวได้ยินเข้าก็เข้าใจกระจ่างแจ้งขึ้นมาโดยพลัน คิดว่าในที่สุดตนเองก็จับจุดอ่อนของผู้มาเยือนได้แล้ว จะถูกแกะตัวอวบอ้วนใช้เงินแค่สองตำลึงไล่ให้พ้นทางไม่ได้เด็ดขาด!
พอคิดถึงตรงนี้นางก็ร้องโวยวายขึ้นมาทันที “กะอีเงินแค่นี้ พวกเจ้าคิดว่ากำลังให้เงินไล่ขอทานหรืออย่างไร! ถ้าหากวันนี้พวกเจ้าไม่ให้ความเป็นธรรม ข้าก็จะลากพวกเจ้าไปหานายอำเภอ!”
สุ้มเสียงของนางไม่ดัง แต่ว่านายบ่าวที่อยู่ตรงข้ามล้วนได้ยินกันหมด คุณชายสี่ผู้นั้นขมวดคิ้วนิดๆ ดูเหมือนไม่คาดคิดว่าสตรีบ้านนอกหนึ่งแก่หนึ่งเด็กทั้งสองคนจะก่อกวนปั่นป่วนถึงเพียงนี้
เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ชิงเยี่ยนก็โมโหจนแทบระเบิด พวกนางรังเกียจว่าคุณชายให้เงินน้อยไป เลยคิดจะลากพวกตนไปหานายอำเภออย่างนั้นหรือ
ทว่าพอคุณชายชุดดำหน้าตาหล่อเหลาองอาจซึ่งอยู่ข้างๆ คุณชายสี่ได้ยินก็หัวเราะพรืดออกมา เบ้ปากพลางเอ่ย “พวกเจ้าสองคนแม่ผัวลูกสะใภ้จะลากพวกเราไปหานายอำเภอได้อย่างไร พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร ถ้าหากไปหานายอำเภอจริงๆ เกรงว่าจะเป็นพวกเจ้านั่นล่ะที่จะซวย”
แม่นางน้อยลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างเชื่องช้า ใช้แขนเสื้อที่ครูดกับพื้นจนขาดเช็ดเศษฝุ่นธุลีบนใบหน้าออกเล็กน้อย ยืนอยู่ด้านหลังหวังเฉี่ยวอย่างกล้าๆ กลัวๆ เอ่ยเสียงแผ่วกับหวังเฉี่ยวว่า “แม่สามี สองท่านนี้ดูแล้วก็รู้ว่าเป็นผู้มีวิชาความรู้ที่จะสอบเข้ารับใช้ราชสำนัก อาจารย์ที่อยู่บ้านข้างๆ บอกว่าบัณฑิตผู้แสวงหาลาภยศชื่อเสียงล้วนมิอาจประพฤติตนด่างพร้อย ถ้าหากท่านยืนยันจะฟ้องร้องพวกเขาให้ได้ มิเท่ากับเป็นการทำลายอนาคตของพวกเขาหรอกหรือ อีกอย่างชาวบ้านตาดำๆ ในบ้านนอกคอกนาอย่างพวกเราแต่ละวันก็ยุ่งวุ่นกับงานในไร่ในนาจนปลีกตัวไม่ได้อยู่แล้ว ไหนเลยจะมีเวลาไปพบนายอำเภอได้…ท่านกับพ่อสามีอยากจะได้งานที่ศาลบรรพชนสกุลเฉิงมาตลอดเลยมิใช่หรือ ดูแล้วทั้งสองท่านคงจะเป็นผู้สูงศักดิ์จากที่นั่น ท่าทางรีบเร่งเดินทางเช่นนี้ คงจะมีค่าเดินทางไม่มาก…มิสู้ลองถามพวกเขาดูว่าจะช่วยออกหน้าพูดให้พ่อสามีกับท่านได้งานซ่อมแซมศาลบรรพชนของสกุลเฉิงหน่อยได้หรือไม่ เช่นนี้ทั้งไม่เสียน้ำใจ ทั้งช่วยให้ชื่อเสียงของคุณชายไม่มัวหมองได้ด้วยมิใช่หรือ”
ครั้นหวังเฉี่ยวได้ยินก็มองสำรวจป้ายจวนซึ่งห้อยอยู่กับอาชาของพวกเขาด้วยดวงตาแวววาวเป็นประกาย
นั่นมันอักษรคำว่า ‘เฉิง’ ตัวโตๆ เลยมิใช่หรือไร
เทวดาฟ้าดินพระโพธิสัตว์เจ้าขา ข้าไม่มีปัญญาไปล่วงเกินสกุลเฉิงหรอกนะเจ้าคะ!
นางตกใจจนรีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยใบหน้ายิ้มประจบประแจง พูดโพล่งออกมาทันทีด้วยท่าทางพินอบพิเทาว่าเมื่อครู่นี้เพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น แต่นางก็บอกกล่าวอย่างไม่ยอมตัดใจว่าหากคุณชายทั้งสองท่านมีเมตตาปรานี ช่วยให้นางกับสามีได้งานในศาลบรรพชนที่กำลังสร้างอยู่สักงาน พวกนางทุกคนในครอบครัวจะซาบซึ้งสำนึกในบุญคุณยิ่ง ไม่กล้าแพร่งพรายความผิดของพวกคุณชายออกไปแม้แต่น้อยนิดแน่นอน
ทว่าครั้นคุณชายชุดดำผู้นั้นได้ยินคำพูดนี้ก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังก้อง ก่อนจะหันหน้าไปหาเด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ข้างกาย “เทียนฟู่ ดูออกหรือยัง พวกนางจงใจวางแผนมาดักเจ้า บ้านเดิมเจ้านี่ช่างเต็มไปด้วยผู้เก่งกล้าสามารถเสียจริงๆ ถึงกับมีหญิงชราบ้านนอกพรรค์นี้มาข่มขู่ดักปล้นเจ้า!”
ในดวงตาเรียวยาวของเด็กหนุ่มชุดขาวเอ่อล้นด้วยประกายเย็นเยียบ เขาเดินผ่านหญิงชราที่กำลังยิ้มประจบผู้นั้นไป จากนั้นก็มองประเมินนางหนูตัวน้อยที่พูดจาเสียงเบาหวิวราวกับยุงผู้นั้น
เขามองดูอยู่เฉยๆ จนเห็นกระจ่างชัด อย่าเห็นแค่ว่าหญิงชราผู้นั้นโวยวายใหญ่โต นางหนูตัวน้อยผู้นี้ต่างหากที่เป็นคนยุยงส่งเสริมอยู่เบื้องหลัง หากนางไม่พูดเรื่องอาจารย์สอนหนังสือเล่าประวัติศาสตร์อันใดนั่นขึ้นมา เดิมทีหญิงชราผู้นั้นก็คงรับเงินแล้วปล่อยพวกเขาไปแล้ว…