บทที่ 1-3 อุบัติเหตุบนถนนในชนบท
หลังจากหวังเฉี่ยวกลับถึงบ้านก็เรียกให้เซวียเซิ่งล้างหน้าหวีผม เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ จากนั้นทั้งสองก็ถือแผ่นห้อยเอวชิ้นนั้นไปเสี่ยงดวงที่คฤหาสน์สกุลเฉิงหลังเก่าซึ่งอยู่ห่างออกไปสามหลี่ดู
ทว่าก่อนจะจากไป หวังเฉี่ยวไม่วางใจ จึงผูกปลายด้านหนึ่งของโซ่ล่ามสุนัขไว้ที่ข้อเท้าของนางหนูน้อย ส่วนอีกด้านก็ผูกแน่นกับเสาหินในเรือน ต่อมาก็ใส่กุญแจเอาไว้อีกชั้น แล้วถึงค่อยปล่อยบุตรชายสติปัญญาอ่อนด้อยกับสะใภ้เด็กเอาไว้อย่างวางใจ
เมื่อพวกเซวียเซิ่งสองสามีภรรยาออกจากบ้านไป เซวียต้าเป่าซึ่งเป็นคนสติปัญญาอ่อนด้อยก็ถือถ้วยกระโดดกระดอนมายังข้างกายนางหนูที่กำลังซักผ้าอยู่ในลานบ้าน ก่อนจะยกถ้วยขึ้นแล้วเอ่ยว่า “น้องสาวเทพธิดา ดื่มน้ำ!”
นางหนูในยามนี้ล้างหน้าล้างตาจนสะอาดแล้ว เส้นผมสีดำยาวสลวยถูกห่อหุ้มด้วยผ้าสีคราม หน้าผากแลดูใสกระจ่าง นัยน์ตาดำสนิทราวกับภูผาเขียวครึ้มประดับประดาด้วยดวงดารา อายุยังน้อยก็เป็นหญิงงามเลอโฉมแล้ว
นางหนูน้อยเอ่ยพร้อมกับยิ้มขื่น “เหตุใดถึงเรียกข้าว่าน้องสาวเทพธิดาเล่า”
เซวียต้าเป่าเอียงคอพูด “ก็เจ้าเหมือนกับเทพธิดาในภาพวาดนี่นา! ท่านพ่อท่านแม่ไปที่ใดหรือ เหตุใดต้องล่ามเจ้าไว้อีก เจ้าไม่ใช่สุนัขเสียหน่อย!”
นางหนูวางเสื้อผ้าที่กำลังซักอยู่ในมือลง มองดูดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบนภาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ พลางเอ่ย “กระทั่งเจ้ายังบอกว่าข้าตกระกำลำบาก ในเมื่อร่วงลงมาสู่โลกมนุษย์ ก็ต้องหลบเลี่ยงภัยสวรรค์ แต่ว่าภัยสวรรค์นั้นหลบง่าย ภัยบนโลกนั้นยากจะหนีพ้น…หากท่านพ่อท่านแม่เจ้าไปช่วยงานที่ศาลบรรพชนสกุลเฉิงตอนกลางวัน ก็จะไม่ดุด่าทุบตี…เจ้าอีก จะได้ใช้ชีวิตสบายหน่อย…”
เซวียต้าเป่าฟังจนฉงนงงงวย แต่ว่าเขาฟังประโยคว่า ‘ท่านแม่จะไม่ดุด่าทุบตีเขาอีก’ ออก จึงเอ่ยอย่างหน้าชื่นตาบานขึ้นมาทันใด “ท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่บ้าน ดียิ่ง! ดียิ่ง! แต่ว่าท่านแม่ก็ไม่ได้ดุด่าต้าเป่าเสียหน่อย ด่าแต่ท่านพ่อกับน้องสาวเทพธิดาเท่านั้นนี่นา!”
พอแม่นางน้อยได้ยินก็แย้มยิ้มเบาบาง ไม่พูดอันใดเช่นกัน นางคิดจะรับน้ำที่ต้าเป่าถืออยู่มา แต่ว่าจู่ๆ ต้าเป่าก็ยกข้อมือขึ้น เทน้ำที่ยังร้อนๆ ในถ้วยใส่นางหนูจนเปียกไปหมดทั้งตัว
นางหลบไม่ทัน จึงใช้แขนบังใบหน้าเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด ทว่าท่อนแขนที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมากลับถูกน้ำร้อนลวกจนแดงเป็นปื้นใหญ่
เมื่อต้าเป่าเห็นว่าแกล้งนางเล่นสำเร็จก็หัวร่องอหายจนกลิ้งเกลือกไปทั่วพื้น ปรบมือพลางตะโกนเสียงดังเลียนอย่างพวกเด็กซนในหมู่บ้าน “ไก่ตกน้ำแกง! ไก่ตกน้ำแกง!”
นางหนูสลัดหยดน้ำที่เปียกเต็มตัวออกอย่างทุลักทุเล ก่อนจะจ้องมองเซวียต้าเป่าที่กลิ้งไปมาอยู่บนพื้นอย่างเย็นชา ถ้าหากไม่มีสิ่งใดเหนือความคาดหมาย คนสติปัญญาอ่อนด้อยผู้นี้จะเป็นสามีในอนาคตของนาง
ถึงแม้เจ้าคนสติปัญญาอ่อนด้อยนี้จะโง่เขลา แต่กลับเรียนวิชากลั่นแกล้งคนมาอย่างเต็มที่ เวลาอารมณ์ไม่ดีก็จะตบปากนางเลียนแบบหวังเฉี่ยว ถ้าหากหวังเฉี่ยวอยู่ข้างๆ ด้วย นางมีแต่จะต้องทนถูกทำร้ายเท่านั้น ถ้าหากในบ้านไม่มีใครอยู่ นางก็ยังจะพอมีวิธีปะเหลาะเจ้าคนสติปัญญาอ่อนด้อยนี้ให้อยู่ห่างนางสักนิด…
หลังจากค่อยๆ พูดกล่อมให้เจ้าคนสติปัญญาอ่อนด้อยนั่นไปเก็บไข่ที่เล้าไก่ได้แล้ว นางหนูก็ใช้น้ำเย็นล้างแขนที่ถูกลวกจนเป็นแผลไปพลางมองดูห่านป่าบนท้องนภาด้วยความเศร้าระทมไปพลาง นางอยากจะให้ตนเองมีปีกงอกออกมาเสียเหลือเกิน จะได้รอนแรมไปทั่วพันภูผาหมื่นธาราอย่างไม่ต้องพะว้าพะวังสิ่งใด
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้นางหนีไปที่ใดไม่ได้ ประการแรกเพราะสามีภรรยาคู่นั้นคอยเฝ้าระวังไม่คลาดสายตา ประการที่สองเพราะทะเบียนราษฎร์ของนางยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น
นางถูกซื้อมาจากพ่อค้ามนุษย์ แม้หวังเฉี่ยวจะไหว้วานให้คนทำทะเบียนราษฎร์ให้นางอยู่ แต่ว่าก็เป็นของปลอม ทว่าคนในแถบบ้านนอกของหมู่บ้านชนบทในเมืองเจี้ยนเฉิงล้วนทำเป็นลืมตาข้างหลับตาข้างต่อสะใภ้ที่ถูกลักพาตัวมาเช่นนี้ ผู้นำหมู่บ้านต่างก็ประทับตรารับรองทำทะเบียนราษฎร์ปลอมให้ทั้งสิ้น จะได้สะดวกเวลาอำเภอตรวจสอบสำมะโนครัว
หากสะใภ้เด็กที่ลักลอบซื้อมาเผ่นหนีไป มิหนำซ้ำทะเบียนราษฎร์ยังเป็นของปลอมอีก พวกหวังเฉี่ยวสองสามีภรรยาก็ไม่สามารถไปฟ้องทางการอย่างชอบด้วยกฎหมายได้ พอถึงตอนนั้นเมื่อนางมีเอกสารทะเบียนราษฎร์ปลอมที่เอามาใช้แทนตัวจริงแล้ว ค่อยหนีออกจากเมืองเจี้ยนเฉิงทีหลังก็จะสะดวกมากขึ้น อย่างน้อยก็สามารถตบตาผ่านไปได้หลายด่าน…
พอคิดถึงจุดนี้นางหนูก็หยิบเต้าเจี้ยวกระปุกใหญ่ออกมา ตักเต้าเจี้ยวออกมาก้อนหนึ่งแล้วป้ายลงบนบริเวณที่ถูกลวกใส่อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็สูดจมูกเล็กน้อย แล้วเริ่มจุดไฟทำกับข้าวให้เจ้าคนสติปัญญาอ่อนด้อย