“พี่ใหญ่ ท่านเลิกพูดเสียที!” ไม่รู้เพราะเหตุใด นายท่านรองสกุลเฉิงจึงรีบร้อนตัดบทคำพูดของพี่ใหญ่ บีบพนักวางแขนเอาไว้ หลังจากกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็เอ่ยด้วยท่าทางราวกับตัดสินใจเด็ดขาดได้แล้ว “พรุ่งนี้…ข้าจะออกเดินทางไปตรวจสอบภาษีเกลือที่อำเภอเหยียนเซี่ยน คงต้องใช้เวลาสักพัก…ส่วนเรื่องกุ้ยเหนียง พี่ใหญ่ก็จัดการเอาตามที่ท่านเห็นสมควรเถิด”
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้จบ เฉิงเผยเหนียนก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องหนังสือ แผ่นหลังซึ่งเดิมทีดูสูงใหญ่ ไม่รู้เหตุใดถึงงองุ้มลงเล็กน้อย
เฉิงเผยเฟิงสะทกสะท้อนใจอยู่บ้าง แต่ก็โล่งอกเสียมากกว่า หนทางสู่การเลื่อนตำแหน่งในสนามขุนนางของน้องชายคนรองของเขาผู้นี้ค่อนข้างขรุขระทุลักทุเล แม้มีวิชาความรู้อัดแน่นเต็มท้อง ทว่ากลับได้แต่เสียเวลาไปกับตำแหน่งไม่สลักสำคัญที่เป็นตัวสำรองรอเข้ากรมอากรมาตลอด
คนเราเมื่อถึงวัยกลางคน ในที่สุดน้องรองก็เริ่มได้สติตื่นรู้จากความไร้เดียงสาไม่รู้ประสีประสาของบุตรหลานตระกูลร่ำรวยในกาลก่อนขึ้นมาบ้าง ระยะนี้เขามีหวังจะได้เลื่อนตำแหน่ง คงจะเป็นเพราะเรื่องที่หลังวัดเฉียนหลง พี่ชายทั้งสองคนของเถียนเพ่ยหรงกุมตำแหน่งสำคัญในกรมปกครองและกรมอากร
ถ้าหากสกุลเถียนยอมลงแรง น้องรองก็นับวันรอเลื่อนตำแหน่งได้เลยทีเดียว…
เมื่อคิดอย่างนี้แล้วในใจเฉิงเผยเฟิงก็เริ่มมีความมั่นใจเช่นกัน จึงลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้องหนังสือ เรื่องในบ้านรอง บุรุษอย่างเขาไม่สะดวกจะออกหน้าเช่นกัน มารดาจากโลกไปเร็ว สะใภ้ใหญ่เป็นเสมือนดั่งมารดา ดังนั้นจึงยังต้องให้เฉียนซื่อฮูหยินของเขาเป็นคนจัดการแทน อธิบายผลดีผลเสียให้กุ้ยเหนียงผู้นั้นฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เช้าตรู่วันถัดมา เฉิงเผยเหนียนก็รีบออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
ยามเฉียนซื่อพาสาวใช้มาถึงในเรือนของบ้านรอง ยังได้ยินกุ้ยเหนียงฮูหยินบ้านรองบ่นกระปอดกระแปดกับหญิงชรารับใช้ว่า “เหตุใดท่านพี่ถึงออกไปแต่เช้าเพียงนี้เล่า ยังไม่ทันได้ดื่มโจ๊กปลิงทะเลอุ่นๆ ก็ออกเดินทางไปเสียแล้ว เช้าตรู่ลมหนาวเหน็บ ท้องว่างเช่นนี้จะไม่ทรมานเอาหรือ เด็กรับใช้ข้างกายเขาก็ไม่พูดโน้มน้าวบ้างเลย…ข้าหลับสนิทเกินไป ท่านพี่ตื่นตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้…”
ขณะที่นางกำลังพูดอยู่นั้น เฉียนซื่อก็เดินเข้ามาในห้องโถงโดยมีสาวใช้คอยประคอง
ครั้นกุ้ยเหนียงเห็นก็รีบร้อนรวบมวยผมแล้วลุกขึ้นมาต้อนรับ เฉียนซื่อช้อนตามองน้องสะใภ้เล็กน้อย…อายุสามสิบกว่าปีแล้ว แต่พวงแก้มยังคงขาวผ่องเรื่อสีแดงเปล่งปลั่ง หางตาก็เต่งตึงนวลเนียน มิได้อาบย้อมระทมทุกข์จากการล่วงผ่านของกาลเวลาเลยสักนิด
นี่เป็นความสุขสำราญเริงใจซึ่งคนที่ได้รับการประคบประหงมจากบุรุษ ไม่เคยสัมผัสรสชาติของความทุกข์เศร้ามาตั้งแต่เยาว์วัยเท่านั้นถึงจะมีได้
แม้แต่ในหมู่สะใภ้ก็เลี่ยงมิได้ที่จะแอบเปรียบเทียบกัน แต่ก่อนเฉียนซื่อนั้นอิจฉาชีวิตดีๆ ของน้องสะใภ้ของนางผู้นี้อยู่ไม่น้อย
สกุลเฉิงไม่เหมือนกับสกุลเซิ่งที่เป็นผู้ลากมากดีเก่า และก็มิใช่ตระกูลใหญ่โตที่เป็นผู้สูงศักดิ์มากอำนาจ
เมื่อปีนั้นหากมิใช่เพราะนายท่านผู้เฒ่าสกุลเฉิงเล็งเห็นโอกาสแม่นยำ ลอบให้ทุนทรัพย์ช่วยเหลือฮ่องเต้เซียนจู่ทำการใหญ่จนประสบความสำเร็จ สกุลเฉิงก็คงจะยังเป็นพ่อค้าเกลือในแถบหวั่นซีอยู่เลย! ด้วยเหตุนี้สกุลเฉิงจึงได้รับบรรดาศักดิ์ลอยเป็นแม่ทัพขั้นสาม สร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้แก่วงศ์ตระกูลมาตั้งแต่บัดนั้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตระกูลใหญ่ที่เป็นขุนน้ำขุนนางมาหลายยุคหลายสมัย ก็ยังคงสู้ผู้อื่นเขาไม่ได้สักเท่าใด
เพราะอย่างไรเสียบรรดาศักดิ์ที่รับเงินเบี้ยหวัดไปวันๆ ไม่มีตำแหน่งจริงจังอันใดพรรค์นี้มีอยู่มากมายในเมืองหลวง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 พ.ค. 67