บทที่ 1-5 อุบัติเหตุบนถนนในชนบท
เมื่อครานั้นที่สกุลเฉิงและสกุลเซิ่งเกี่ยวดองกันทางการแต่งงาน สกุลเฉิงถือว่าเด็ดดอกฟ้าเสียด้วยซ้ำไป หากมิใช่เพราะบุตรชายคนรองสกุลเฉิงมีรูปโฉมงามโดดเด่น ได้รับสมญานามว่าบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง คงจะไม่สามารถเอาชนะใจเซิ่งกุ้ยเหนียงผู้นั้นได้จริงๆ
ตอนนั้นมีพระสงฆ์ผู้มีชื่อเสียงเคยทำนายบุพเพสันนิวาสของทั้งสองเอาไว้ บอกว่ามีรุ่งเรืองก็ต้องมีตกต่ำ ‘เซิ่ง’ นี้ถึงแม้จะมีบุญบารมีอันเป็นรากฐานคอยโอบอุ้มอยู่ แต่หากอยากจะเจริญรุ่งมั่งมีตราบชั่วร้อยปี ก็จำเป็นต้องเติมบุญบารมีให้เต็มเปี่ยม และ ‘เฉิง’ สามารถต่อพลังให้ ‘เซิ่ง’ ได้
อย่างไรเสียพระสงฆ์ชื่อดังผู้นั้นก็กล่าวทำนายวิเคราะห์อักษรได้อย่างฉะฉานมีเหตุผล ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการวางแผนอันล้ำเลิศของนายท่านผู้เฒ่าสกุลเฉิงเมื่อครั้งกระโน้นหรือไม่ สุดท้ายการแต่งงานนี้ก็เป็นอันตกลงได้ในที่สุด
ตอนนี้ดูเหมือนพระสงฆ์ชื่อดังคงพูดผิดไปแล้วจริงๆ หากรากฐานไม่มั่นคง ไหนเลยจะมีชีวิตรอดได้ สกุลเซิ่งของพวกเขาไม่เพียงแต่จะล่มสลาย ซ้ำร้ายยังจะพาให้สกุลเฉิงถูกฝังไปพร้อมๆ กัน!
สกุลเฉิงรากฐานตื้นเขิน วงศ์ตระกูลจึงทำได้เพียงบ่มเพาะลูกหลานที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียนเอาไว้บ้าง คาดหวังว่าจะได้สร้างคุณงามความดีในแวดวงขุนนางเพื่อที่จะสืบต่อบุญบารมีที่นายท่านผู้เฒ่าทิ้งเอาไว้ให้ลูกให้หลาน แต่ว่าบัดนี้นางเด็กสมควรตายจากสกุลเซิ่งผู้นั้นกลับทำลายสัญญาหมั้นหมายของจวนฉือหนิงอ๋องแล้วหนีตามบุรุษอื่นไป
นางไม่รู้หรือว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมีทายาทสืบทอดเพียงหยิบมือ กอปรกับองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันร่างกายอ่อนแอขี้โรค เกรงว่าคงจะอายุไม่ยืนนาน ใครๆ ต่างก็รู้ว่าหากองค์รัชทายาทเสียชีวิต เช่นนั้นแล้วฉือหนิงอ๋องก็จะได้รับสืบทอดราชบัลลังก์ บุตรชายคนเดียวของเขาก็จะได้รับแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทในภายภาคหน้า
นั่นก็หมายความว่าเซิ่งเซียงเฉียวผู้นี้ได้หักหน้าว่าที่โอรสสวรรค์ ยื่นหมวกเขียว กิ่งก้านดกครึ้มให้กับว่าที่องค์รัชทายาทในอนาคต
พอเฉียนซื่อคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่ามีเหงื่อกาฬเย็นเฉียบผุดขึ้นมาตามหลังคอ แต่เมื่อนึกถึงคำกำชับสั่งของสามี นางก็รีบปลุกเร้าจิตใจทันที ใบหน้านางเคร่งเครียด หางตาตก หลังจากยื่นมือโบกไล่ให้สาวใช้ที่อยู่เต็มห้องออกไปแล้วก็เดินไปปิดประตูห้องด้วยตนเอง ก่อนจะพูดคุยกับเซิ่งกุ้ยเหนียงอย่างเป็นความลับ
ไม่นานนักก็ได้ยินเพียงเสียงสะอึกสะอื้นด้วยความเจ็บปวดดังลอยออกมาจากในห้อง จู่ๆ ฮูหยินรองกุ้ยเหนียงก็แผดเสียงร่ำไห้ออกมา
บรรดาสาวใช้ที่อยู่ด้านล่างของเฉลียงทางเดินต่างก็ได้รับคำสั่งจากฮูหยินใหญ่เฉียนซื่อว่าห้ามเข้าใกล้หน้าห้อง จึงทำได้แค่ประสานมือรอคอย ในใจร้อนรนกระวนกระวาย
เฉี่ยวอิงสาวใช้ประจำตัวของกุ้ยเหนียงเองก็ร้อนรุ่มใจจนแทบทนไม่ไหวเช่นกัน ขณะที่กำลังกัดริมฝีปากขบคิดอยู่นั้น พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเด็กหนุ่มร่างผอมเพรียวสูงชะลูดผู้หนึ่งเดินเลี้ยวเข้ามาตรงประตูวงเดือนของเรือนชั้นใน
เด็กหนุ่มคนนี้รูปร่างสูงใหญ่เกินไป ดูไม่ออกเลยว่าอายุเพียงแค่สิบห้าปีเท่านั้น ท่อนเอวเหยียดตรง คิ้วหนาเข้มจมูกโด่งเป็นสัน ถึงแม้จะสวมใส่ชุดหรูซานสีขาวหิมะ เปล่งบุคลิกสุภาพเรียบร้อย แต่ประกายที่ปรากฏออกมาจากดวงตาคู่นั้นคมกริบราวกับใบมีดก็ไม่ปาน จ้องมองจนสาวใช้น้อยทั้งหลายอดหน้าแดงระเรื่อไม่ได้ มองดูเขาเดินพรวดพราดผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม
อิ้งมามาซึ่งเป็นบ่าวอาวุโสประจำกายของเฉียนซื่อกำลังเฝ้าอยู่หน้าประตู ครั้นเห็นเฉิงเทียนฟู่คุณชายบ้านรองทำท่าเหมือนจะบุกเข้ามาก็รีบร้อนยื่นมือออกไปขวางทันที “คุณชายสี่ ฮูหยินใหญ่กำลังคุยกับฮูหยินรองอยู่เจ้าค่ะ รอประเดี๋ยว…โอ๊ย…”
ไม่รอให้อิ้งมามาพูดจบ ร่างอ้วนฉุของนางก็ถูกเตะจนโซซัดโซเซ ส่วนเฉิงเทียนฟู่นั้นก็ผลักประตูห้องเปิดออกอย่างรุนแรงแล้วเดินสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไป
กุ้ยเหนียงซึ่งอยู่ในห้องสะอื้นไห้จนกลายเป็นมนุษย์น้ำตาไปแล้ว นิ้วโป้งขวาถูกเฉียนซื่อจับเอาไว้ แตะชาดแดงกำลังจะประทับลงไปบนกระดาษ ยามนางซึ่งเดิมทีสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเห็นบุตรชายที่หลบร้อนไปร่ำเรียนหนังสือที่คฤหาสน์หลังเก่ากลับมาอย่างกะทันหันก็ตะโกนเสียงสะอื้นออกมาทันที “เทียนฟู่…”
วาจาโถมกระหน่ำอัดแน่นอยู่ในลำคอ ครั้นแล้วนางก็ล้มฟุบลงข้างโต๊ะด้วยเพราะเรี่ยวแรงไม่เป็นใจ
เฉียนซื่อก็ถูกหลานชายที่บุกเข้ามาอย่างปุบปับไม่ทันให้ตั้งตัวทำเอาตกอกตกใจไปยกใหญ่ จึงเผลอคลายมือออก จากนั้นก็แสร้งทำเป็นสงบเยือกเย็นแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าสี่ จะเข้ามาในห้องเหตุใดถึงไม่เคาะประตูก่อน”
เฉิงเทียนฟู่มิได้สนใจป้าสะใภ้ เขาเดินตรงไปยังข้างกายมารดา ก่อนจะจับชีพจรของนาง หลังจากตรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอันใดมาก เขาก็หยิบหนังสือหย่าที่อยู่บนโต๊ะฉบับนั้นขึ้นมา หลังจากอ่านไปสองสามบรรทัดก็เงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่เฉียนซื่อ