เซิ่งกุ้ยเหนียงพึ่งพาสามีกับบุตรชายจนเคยชิน ตอนนี้ท้องนภาที่สามีค้ำยันเอาไว้ได้พังทลายลง แต่ก็ยังโชคดีที่บุตรชายกลับมา ในใจของนางจึงยังสงบมั่นคงอยู่บ้าง ทุกอย่างว่าตามที่บุตรชายบอกก็พอ
หลังจากเฉิงเผยเฟิงได้ยินความที่เฉียนซื่อฮูหยินของตนนำกลับมาบอก หัวคิ้วก็พลันขมวด รอคอยให้หลานชายมาขอขมา
แต่ใครเล่าจะรู้ เขานั่งรออยู่ในห้องหนังสือมาครึ่งวัน กลับไม่เห็นหลานชายมาขอพบ จนกระทั่งใกล้ถึงยามเที่ยงของวันถัดมา เฉิงเผยเฟิงก็ข่มกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ สั่งให้บ่าวชราข้างกายไปเรียกตัวเจ้าสี่มา
บ้านใหญ่เฉิงเผยเฟิงมีบุตรชายทั้งหมดสามคน เฉิงเทียนฟู่ซึ่งถือกำเนิดจากบ้านรองอยู่ในลำดับที่สี่พอดี
แม้เฉิงเผยเฟิงจะเป็นผู้กุมอำนาจสกุลเฉิง แต่ก็คร้านจะสนใจเรื่องของพวกลูกหลาน ยิ่งไปกว่านั้นเฉิงเทียนฟู่ยังเป็นบุตรของบ้านรอง ย่อมมีบิดาคอยอบรมสั่งสอนอยู่แล้ว
เขาเองก็ไม่ได้เจอเจ้าสี่ที่ไปเรียนวิชาอยู่ต่างถิ่นมานานแล้วเช่นกัน ในสมองจึงคิดว่าเจ้าสี่ยังเป็นเด็กน้อยดื้อรั้นอยู่เหมือนเดิม
แต่เมื่อเด็กหนุ่มรูปร่างสูงชะลูดในชุดตัวยาวสีขาวราวหิมะเดินเข้ามาในห้องหนังสือ เฉิงเผยเฟิงก็พลันตระหนักได้ว่าเจ้าเด็กจอมซนผู้นั้นค่อยๆ เติบใหญ่กลายเป็นกึ่งชายหนุ่มไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
หลังจากเขามองดูเฉิงเทียนฟู่โค้งคำนับแล้วกล่าวทำความเคารพอย่างพอนับได้ว่ามีมารยาทอยู่บ้าง ก็เอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “เจ้ายังไม่สำเร็จการศึกษา อยู่ในช่วงที่จำเป็นต้องขยันหมั่นเพียร เรื่องของบิดาเจ้า เจ้ายังไม่ต้องก้าวก่ายหรอก”
เฉิงเทียนฟู่มองท่านลุงใหญ่ จากนั้นก็พูดด้วยท่าทีเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน “ข้ากลับมาคราวนี้เพราะท่านยายบังเอิญจับไข้ร่างกายไม่ค่อยสบาย นางคิดถึงข้า ดังนั้นท่านลุงจึงเขียนจดหมายหาข้า ให้ข้ากลับมาเยี่ยมท่านผู้เฒ่า ก่อนจะกลับมาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าท่านพ่อกับท่านแม่ของข้ามีปัญหาอันใดกัน”
เฉิงเผยเฟิงยิ้มเยาะเล็กน้อย ขณะกำลังจะไล่หลานชายออกไปนั้น เฉิงเทียนฟู่กลับเปิดปากขึ้นก่อนว่า “ครั้งนี้ซื่อจื่อแห่งจวนฉือหนิงอ๋องก็ถือโอกาสกลับเมืองหลวงมาพร้อมกับข้าด้วย ประเดี๋ยวก็จะไปเยี่ยมท่านยายด้วยกันกับข้า เดี๋ยวข้าก็ต้องออกไปแล้ว ไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนคุยกับท่านลุงใหญ่ต่อได้ ต้องขออภัยด้วยขอรับ…”
พอได้ยินว่าซื่อจื่อจวนฉือหนิงอ๋องจะไปที่จวนสกุลเซิ่ง เฉิงเผยเฟิงก็ปั้นท่าเฉยชาไม่ทุกข์ร้อนไม่ได้อีกต่อไป เขาตื่นตระหนกจนหนวดแทบจะตวัดโค้งขึ้นมา ลุกขึ้นพรวดแล้วเอ่ยว่า “หะ…เหตุใดเจ้าถึงไปชวนซื่อจื่อกลับมาด้วยกันเล่า นะ…นี่ไม่แย่ตายหรือ เจ้าไม่รู้เรื่องงามหน้าที่เซิ่งเซียงเฉียวญาติผู้น้องของเจ้าก่อหรืออย่างไร”
เฉิงเทียนฟู่จ้องมองท่านลุงใหญ่นิ่ง ก่อนจะเอ่ยราวกับประชดเสียดสีนิดๆ “ข้ายังไม่รู้เรื่องเลยนะขอรับ ไม่รู้เช่นกันว่าท่านลุงไปฟังข่าวเลื่อนลอยมาจากที่ใด คำพูดเหลวไหลแต่กลับเอามาถือเป็นจริงเป็นจังไปเสียทั้งหมด! สองสามวันนี้ญาติผู้น้องเซียงเฉียวบังเอิญโดนลมหนาวจนเป็นหวัด ป่วยไข้มิอาจพบเจอผู้คนได้ ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องอับอายขายหน้าอันใดเสียหน่อย อีกไม่กี่วันก็หายดีแล้ว หรือว่าท่านลุงบังคับให้ท่านแม่กับท่านพ่อข้าหย่ากันเพราะข่าวลือไร้หลักแหล่ง? นี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องฉาวโฉ่ในครอบครัวอย่างแท้จริง!”
เฉิงเผยเฟิงหรี่ตาลงน้อยๆ คิดแค่ว่าเด็กหนุ่มโง่เขลากำลังพูดจาเลอะเทอะส่งเดช ไม่รู้ถึงสถานการณ์คับขันของสกุลเซิ่งเลยแม้แต่น้อย
ทว่าเฉิงเทียนฟู่ได้ผลักประตูสาวเท้าก้าวใหญ่ออกไปแล้ว เฉิงเผยเฟิงเองก็ไม่สะดวกใจจะเรียกเขากลับมาอีก
เขาคร้านจะสนใจหลานชายจอมเกเรเช่นกัน การรีบให้เซิ่งกุ้ยเหนียงลงนามในหนังสือหย่าโดยเร็วต่างหากถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ
เมื่อไปที่เรือนของบ้านรองอีกครั้ง เฉียนซื่อกลับพบว่าเซิ่งกุ้ยเหนียงเก็บสัมภาระหลายคันรถตั้งแต่เช้าตรู่ พาสาวใช้และหญิงรับใช้ชราที่ติดตามออกเรือนมาออกไปทางประตูข้างของจวนซึ่งอยู่ด้านข้างของเรือนตน กลับยังบ้านเดิมที่จวนสกุลเซิ่งพร้อมกับเฉิงเทียนฟู่แล้ว…
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 พ.ค. 67