บทที่ 2-1 ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ
ทว่าเฉิงเทียนฟู่มิได้ไปที่จวนท่านยายเหมือนอย่างที่เขาพูดเอาไว้ หลังจากได้รับจดหมายที่เด็กรับใช้ของจวนอ๋องนำมาส่งแล้ว เมื่อพามารดาไปส่งที่จวนสกุลเซิ่งเสร็จ เขาก็ขี่อาชาไปที่เรือนรับรองแห่งหนึ่งทางฝั่งตะวันตกของเมือง
หลังจากเข้ามาในเรือนรับรอง เขาก็โยนแส้ควบม้าให้ชิงเยี่ยนเด็กรับใช้ประจำกาย จากนั้นก็สาวเท้าก้าวยาวเดินผ่านระเบียงวนซึ่งเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้มาถึงยังห้องโถงชั้นใน
ม่านในห้องโถงถูกปล่อยลงปิดมิดชิด แสงสว่างแลดูมืดสลัว แต่เพียงแค่ชั่วขณะแรกเฉิงเทียนฟู่ก็เห็นได้ในทันทีว่าท่านลุงเซิ่งเซวียนเหอกำลังก้มหมอบอยู่บนพื้น คุกเข่านิ่งไม่ยอมลุกขึ้นมา
ส่วนฉือหนิงอ๋องนั้นนั่งอยู่บนตำแหน่งประธานตรงหน้าห้องโถง กำลังหลับตาพลางขยับลูกประคำเหอเถาหยกที่เปล่งประกายแวววาวในมือ
เฉิงเทียนฟู่เดินไปยังข้างกายเซิ่งเซวียนเหอผู้เป็นลุง ขณะที่เขาเลิกชุดตัวยาวขึ้นเพื่อจะคุกเข่ากล่าวทำความเคารพ ท่านอ๋องผู้นั้นถึงค่อยลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วพูดว่า “เจ้าบอกกับท่านลุงของเจ้าในจดหมายว่าเจอเด็กสาวที่หน้าตาเหมือนกับเซิ่งเซียงเฉียวไม่ผิดเพี้ยน เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
เฉิงเทียนฟู่มองท่านลุงเล็กน้อย รู้ว่าเขาจะต้องถูกท่านอ๋องเค้นถามเป็นแน่ ถึงต้องจำใจพูดเรื่องนี้ออกมา จึงได้ตอบไปว่า “ผู้น้อยไม่กล้าบอกว่าเหมือนกันถึงสิบส่วนหรอกขอรับ แต่ก็ละม้ายคล้ายกันราวเจ็ดแปดส่วนได้ เพียงแต่นางหาใช่คุณหนูตระกูลใหญ่ แต่เป็นสะใภ้เด็กของชาวบ้านในชนบทเท่านั้น”
หัวคิ้วที่ขมวดแน่นน้อยๆ มาตลอดเวลาของท่านอ๋องดูเหมือนจะคลายออกในที่สุด เขาเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ รูปโฉมเหมือนกันถึงจะสำคัญที่สุด”
เขามองไปทางเซิ่งเซวียนเหอที่คุกเข่าอยู่บนพื้นมาครึ่งวันแล้วสุดท้ายก็เอ่ยออกมาว่า “ใต้เท้าเซิ่ง ลุกขึ้นเถิด มานั่งคุยกันดีกว่า”
เซิ่งเซวียนเหอรู้ว่าตนเองอบรมสอนสั่งบุตรสาวไม่เข้มงวด บุตรสาวก่อความผิดใหญ่มหันต์เช่นนี้ ต่อให้ตนเองศีรษะหลุดจากบ่าร้อยครั้งก็ไม่เพียงพอ บัดนี้โชคดีที่ได้หลานชายเฉิงเทียนฟู่มาช่วย สถานการณ์ถึงพลิกผันได้ ทว่าหัวใจของเขาก็ยังไม่กลับไปอยู่ที่เดิม แม้จะได้ยินท่านอ๋องมอบความเมตตาปรานีให้ แต่เขาก็ไม่กล้าลุกขึ้นมาในทันทีทันใดเช่นกัน
สุดท้ายเขาถึงลากขาที่ปวดเมื่อยทั้งสองข้างลุกขึ้นโดยที่เฉิงเทียนฟู่ช่วยประคับประคอง ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้อีกด้านหนึ่งอย่างตัวสั่นงันงก
ส่วนคำของท่านอ๋องที่ว่า ‘รูปโฉมเหมือนกันถึงจะสำคัญที่สุด’ ก็ถูกต้องตามนั้นจริงๆ
สัญญาหมั้นหมายของซื่อจื่อกับเซิ่งเซียงเฉียวเป็นสมรสพระราชทานจากโอรสสวรรค์ เพียงแต่คนนอกล้วนไม่รู้ว่าที่ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้เป็นเพราะพระราชนัดดาซื่อจื่อผู้นี้รูปโฉมละม้ายคล้ายคลึงกับฮ่องเต้เมื่อครั้งวัยเยาว์เป็นที่สุด ส่วนเซิ่งเซียงเฉียวผู้นั้นหน้าตาเหมือนกับคนรักเก่าเมื่อครั้งวันวานของฝ่าบาทยิ่ง
ฮ่องเต้อายุมากแล้ว ไม่ร่วมหอกับเหล่าสนมชายาในตำหนักในมานานแล้ว ทว่าในใจกลับยังยึดติดอยู่แต่กับเรื่องเสียใจเมื่อครั้งเยาว์วัย ดังนั้นเมื่อหลายปีก่อน ยามฝ่าบาทเผลอไปเห็นซื่อจื่อที่ตอนนั้นอายุเพียงสิบสองกับคุณหนูสกุลเซิ่งในวัยเก้าขวบกำลังยืนโต้เถียงกันไม่หยุดอยู่ด้านล่างของเฉลียงทางเดินในอุทยานดอกไม้ ภาพบรรยากาศดูราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสากำลังเล่นสนุก ประดุจดั่งคราวันคืนแสนสุขสงบ มีคนงามคอยอยู่เคียงคู่เมื่อปีนั้น น้ำตาของโอรสสวรรค์ก็เอ่อคลอขอบดวงตา ประกาศพระราชโองการมอบสมรสพระราชทานให้ทันที
หลังจากพระราชทานสมรสแล้ว ฉือหนิงอ๋องก็กลายเป็นที่โดดเด่นขึ้นมาในหมู่โอรสซึ่งเกิดจากสนมชายาของฝ่าบาท นับวันจะยิ่งได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาทมากขึ้นเรื่อยๆ
ได้ยินว่าเมื่อครั้งกระโน้นฝ่าบาทเคยให้คำมั่นสัญญากับคนงามไว้ว่าจะแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาของแผ่นดิน เสวยเกียรติยศแห่งพญาหงส์ ทว่ากลับมิได้เป็นไปดั่งที่ปรารถนาไว้ บัดนี้จึงถ่ายเทความรักฝังใจที่อัดแน่นเต็มอุราให้แก่เด็กชายหญิงตัวน้อยที่รูปโฉมคล้ายคลึงกับเขาและนางเมื่อปีนั้น ถือเป็นการทำความฝันที่ค้างคาให้เป็นจริง
ฉือหนิงอ๋องรู้ดีแก่ใจว่าสาเหตุที่ตนเองกลายเป็นผู้มีโอกาสสูงสุดในการสืบทอดบัลลังก์เป็นเพราะฮ่องเต้ต้องการทำความฝันให้เป็นจริง แน่นอนว่าเขาย่อมต้องให้ความสำคัญกับบุพเพสันนิวาสระหว่างซื่อจื่อกับคุณหนูสกุลเซิ่งในครานี้เป็นธรรมดา
แต่ตอนนี้เซิ่งเซียงเฉียวหนีไปแล้ว ฉือหนิงอ๋องรู้ว่าหากเรื่องนี้แพร่ไปถึงหูของฝ่าบาท ทำให้ฝันอันแสนหวานมีจุดด่างพร้อยขึ้นมา บัลลังก์มังกรที่อยู่ในมือเขาก็จะบินหนีไปอย่างไร้ร่องรอย
ดังนั้นขอเพียงแค่พาตัวเซิ่งเซียงเฉียวกลับมา แม้นางจะถูกเหยียบย่ำไร้สิ้นความบริสุทธิ์ผุดผ่องไปแล้ว จวนฉือหนิงอ๋องก็จะต้องปกปิดเรื่องเหม็นคาวเอาไว้ ให้ซื่อจื่อส่งเกี้ยวหลังใหญ่แปดคนหามแต่งเซิ่งเซียงเฉียวเข้าจวนอ๋อง ทำความฝันในวันวานของโอรสสวรรค์ให้เป็นจริง