บทที่ 2-2 ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ
หลังจากเฉิงเทียนฟู่แอบฟ้องเรื่องสกุลเถียนแล้วก็ขอตัวออกไปจากเรือนรับรอง
เถียนเพ่ยหรงช่างใจดำอำมหิตจริงๆ เกือบจะทำให้มารดาของเขาถูกหย่า ถึงแม้เซิ่งกุ้ยเหนียงจะไม่รู้ถึงเรื่องเลวทรามของบิดา แต่เฉิงเทียนฟู่จะไม่มีทางปล่อยสตรีผู้นั้นไปง่ายๆ แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังจะทำลายความคิดเพ้อฝันของบิดาอีกด้วย!
ยามเขาเดินมาถึงหน้าประตูเรือนรับรอง จินเหลียนหยวนซื่อจื่อกำลังยืนรอเขาอยู่พอดี บนใบหน้าดูเหมือนจะมีแวววิตกกังวล
พอเห็นเฉิงเทียนฟู่เดินเข้ามา เขาก็ยื่นมือออกไปจู่โจมเข้าใส่ท้องของเฉิงเทียนฟู่อย่างหนักหน่วงทันที แต่กลับถูกเฉิงเทียนฟู่ใช้กระบวนท่าสี่ตำลึงปาดพันชั่ง สลายไปได้อย่างสบายๆ
เฉิงเทียนฟู่ถอยกรูดตามน้ำออกไปสองสามก้าว จากนั้นก็ประสานมือคารวะแล้วเอ่ยว่า “ฝีมือของซื่อจื่อคล่องแคล่วปราดเปรียวขึ้นทุกที ผู้น้อยรับมือไม่ไหวจริงๆ…”
จินซื่อจื่อถ่มน้ำลายลงอีกด้านแล้วเอ่ยว่า “เจ้าสี่ เลิกเสแสร้งแกล้งทำได้แล้ว ในเมืองหลวงมีใครบ้างไม่รู้ถึงวีรกรรมที่เจ้าต่อยตีกับข้าและซื่อจื่อจากอีกสองจวนจนตกน้ำในวังหลวง หากมิใช่เพราะเสด็จปู่ทรงมีความคิดเปิดกว้าง เด็กน้อยอย่างเจ้าคงจะศีรษะหลุดออกจากบ่า ถูกเอาไปแขวนไว้ที่กำแพงเมืองตั้งแต่อายุหกขวบแล้ว…สกุลเซิ่งก็ทำเกินไปจริงๆ! ถึงแม้จะตามตัวญาติผู้น้องของเจ้าคนนั้นกลับมาได้ แต่คงจะสูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วเป็นแน่แท้…สตรีเหลวแหลกเช่นนี้ ต่อไปข้าจะหลับนอนด้วยลงได้อย่างไร”
เบื้องหน้าดูเหมือนซื่อจื่อร่ำเรียนวิชาร่วมสำนักกับเขา แต่เบื้องหลังถูกเฉิงเทียนฟู่ชักชวนให้มาร่ำเรียนวิชาหมัดมวยกับอาจารย์วิชายุทธ์คนใหม่มากกว่า คำพูดคำจาของชาวยุทธ์ก็เรียนรู้มาอย่างเต็มที่ จึงเอ่ยด่าทอต่อหน้าสหายที่เป็นเพื่อนเรียนเพื่อนเล่นมาตั้งแต่เยาว์วัยอย่างไม่ระมัดระวังคำพูดแม้แต่น้อย
เขาหารู้ไม่ว่าเซิ่งเซียงเฉียวที่พาตัวกลับมาในคราวนี้เป็นตัวปลอม จึงเชื่อแค่ว่าสตรีผู้นี้ใจง่ายสำส่อน ไม่ใช่คนดีอันใด แต่จนปัญญาที่ท่านพ่อคิดแต่จะเอาอกเอาใจเสด็จปู่ เขาจึงจำต้องแต่งสตรีเหลวแหลกเป็นภรรยาเพื่อประจบเอาใจฝ่าบาท
แต่ไหนแต่ไรมาซื่อจื่อก็มิได้ใส่ใจกับการแต่งงานนี้อยู่แล้ว นอกจากเคยเจอกับเซิ่งเซียงเฉียวอยู่ไม่กี่ครั้งเมื่อตอนเด็กๆ หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอนางอีกเลย
สำหรับซื่อจื่อในวัยสิบเจ็ดปีแล้ว เขาจำได้แต่นิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจของคุณหนูสกุลเซิ่งเท่านั้น บัดนี้พอมีเรื่องฉาวโฉ่ที่นางแอบหนีตามบุรุษอื่นไปเพิ่มขึ้นมาอีก ซื่อจื่อก็เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟยกใหญ่ตั้งแต่รู้ว่าเซิ่งเซียงเฉียวกลับมาแล้ว
เฉิงเทียนฟู่ปรายตามองเหล่าเด็กรับใช้ผู้ติดตามที่ยืนอยู่ไกลๆ ปราดหนึ่ง ครั้นแล้วก็เอ่ยปลอบประโลมซื่อจื่อด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “ผู้จะทำการใหญ่ให้สำเร็จต้องไม่ยึดติดกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในสมัยโบราณกาลพระพุทธองค์เคยสละร่างกายให้เป็นอาหารเสือ บัดนี้ซื่อจื่อสละความบริสุทธิ์ผุดผ่องเพื่อบรรลุอรหันต์ การแต่งงานในครานี้เกี่ยวพันไปถึงความเจริญรุ่งเรืองของสกุลเซิ่ง สกุลเฉิง และจวนอ๋องทั้งสามตระกูล ผู้น้อยขอขอบคุณซื่อจื่อที่สละตนให้ทุกฝ่ายสมปรารถนา…”
ซื่อจื่อกลับถูกคำพูดผายลมทว่าจริงจังของเขาพาให้ตลกขบขันเข้า จึงเอ่ยขึ้นว่า “ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของข้ายกให้นางกำนัลต้นห้องไปตั้งนานแล้ว! ยังห่างจากการบรรลุอรหันต์อีกไกล! แต่เจ้าวางใจเถิด ข้ารู้ดีว่าเรื่องใดควรไม่ควร ถ้าหากเรื่องฉาวโฉ่ของนางแพร่ออกไป ข้าก็จะเสียหน้าไปด้วย ก็ถือเสียว่าอุจจาระรดในผ้าห่ม ปิดเอาไว้ให้สนิทก็แล้วกัน!”
เฉิงเทียนฟู่หลุบตาลงกึ่งหนึ่ง เข้าใจจุดประสงค์ที่ท่านอ๋องกำชับเขาว่าห้ามให้ซื่อจื่อรู้ว่าเซิ่งเซียงเฉียวเป็นตัวปลอมแล้ว ซื่อจื่อมีอุปนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา หากรู้ว่าคนที่ตนเองต้องแต่งเป็นภรรยาเป็นเด็กสาวบ้านนอกคอกนา เป็นสะใภ้เด็กของคนสติปัญญาอ่อนด้อย เกรงว่าคงจะต้องอาละวาดโวยวายเป็นแน่
เดิมทีเฉิงเทียนฟู่คิดจะปรึกษาหารือกับท่านลุงสักหน่อยว่าให้เด็กสาวบ้านนอกผู้นั้นมาช่วยเหลือ ปรากฏโฉมต่อหน้าผู้คนเล็กน้อย ถ้าหากหาตัวเซิ่งเซียงเฉียวไม่เจอจริงๆ หลังจากข่าวซุบซิบเรื่องที่นางหนีตามบุรุษไปซาลงแล้ว ค่อยป่าวประกาศกับภายนอกว่าเซิ่งเซียงเฉียวป่วยเสียชีวิต พอถึงตอนนั้นค่อยให้เงินนางหนูน้อยคนนั้นสักนิดหน่อยเพื่อจบเรื่องไป
แต่ตอนนี้ท่านอ๋องล่วงรู้เรื่องราวถึงขั้นนี้แล้ว แต่ยังคิดที่จะให้ซื่อจื่อแต่งเซิ่งเซียงเฉียวตัวปลอมเป็นภรรยา…ยามนี้คนที่ไปรับตัวนางหนูน้อยผู้นั้นล้วนแต่เป็นคนที่จวนอ๋องส่งไปทั้งสิ้น ดูท่าคงใกล้จะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้วกระมัง…
ส่วนนางหนูสะใภ้เด็กที่อยู่ห่างไกลถึงเมืองเจี้ยนเฉิง ย่อมไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของตนเองได้ถูกเหล่าผู้สูงศักดิ์กำหนดเอาไว้ให้เรียบร้อยตั้งแต่แรกแล้ว