ในวันที่สี่ที่หวังเฉี่ยวไปช่วยงาน จู่ๆ พ่อบ้านก็เรียกนางเข้าไปหา บอกว่าในคฤหาสน์ยังขาดสาวใช้ช่วยงานจิปาถะอีกคน ได้ยินว่าที่บ้านนางมีสะใภ้เด็กอยู่ หากอยู่ว่างๆ ก็มิสู้เรียกนางมาช่วยงาน เงินเบี้ยหวัดรายเดือนจะจ่ายให้เท่ากับค่าแรงของหวังเฉี่ยว
ครั้นหวังเฉี่ยวได้ยินดวงตาก็ลุกวาว! นี่ก็หมายความว่าทุกเดือนในบ้านจะมีเงินสองตำลึงเข้าคลัง เรื่องดีๆ เช่นนี้ย่อมไม่ยอมปล่อยให้พลาดไปอยู่แล้ว นางจึงรีบตกปากรับคำในทันที
วันถัดมานางก็พานางหนูมาที่คฤหาสน์หลังเก่าของสกุลเฉิงด้วยกัน
พ่อบ้านผู้นั้นจึงสั่งให้นางหนูเข้าไปทำงานในคฤหาสน์ชั้นใน
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน อยู่ๆ ก็มีข่าวร้ายส่งมา ตอนที่นางหนูน้อยผู้นั้นกำลังเติมถ่านใส่เตาหลอมใหญ่ในคฤหาสน์เก่าของจวนชั้นในอยู่นั้น ก็พลันเผลอไม่ทันระวังล้มร่วงลงไปก้นเตาหลอม ตอนที่ถูกคนพบเจอเข้าก็กลายเป็นศพไหม้เกรียมไปเสียแล้ว
พอหวังเฉี่ยวได้ยินข่าวนี้ก็ร้องไห้โหยหวนออกมาทันที โหวกเหวกโวยวายให้สกุลเฉิงชดใช้คนชดใช้ชีวิต
เนื่องจากคนที่จวนอ๋องส่งมาปฏิบัติการอย่างลับๆ ความจริงแล้วพ่อบ้านเองก็ไม่รู้ว่านางหนูผู้นี้ตายอย่างเป็นปริศนา คิดแค่ว่าในเมื่อเกิดเหตุถึงแก่ชีวิตขึ้นในจวนสกุลเฉิง เขาก็อยากจะรอดพ้นความผิดชอบเช่นกัน! เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ชื่อเสียงของสกุลเฉิงต้องด่างพร้อย ดังนั้นเขาจึงจ่ายเงินสำรองให้ไปก่อน ชดใช้เงินให้หวังเฉี่ยวมากถึงห้าสิบตำลึง ต่อมาได้ยินว่าคุณชายส่งจดหมายนกพิราบนำความมาบอก จึงให้เงินนางไปอีกหนึ่งร้อยตำลึง
เงินมากมายเช่นนี้ ซื้อที่นาซื้อคฤหาสน์ให้บุตรชายแต่งภรรยาสักสิบคนก็ยังเหลือแหล่!
แต่ว่าหวังเฉี่ยวยังไม่พอใจ ครั้นเห็นว่าพ่อบ้านพูดง่ายเช่นนี้ก็ตัดสินใจร้องไห้โวยวายอีกรอบ จะเอาเงินมากกว่านี้ให้ได้
เพียงแต่ตอนที่นางพาสามีและบุตรชายสติปัญญาอ่อนด้อยมาเฝ้าศพไหม้เกรียมที่อยู่บนเปลหาม พร้อมกับโอดโอยอยู่บนพื้นหน้าประตูจวนสกุลเฉิง ก็มีรถม้าคันหนึ่งหยุดลงพอดี มีชายฉกรรจ์แปลกหน้าจำนวนหนึ่งเดินลงมาจากบนรถม้า จ้องมองหวังเฉี่ยวที่กำลังกลิ้งเกลือกไปทั่วพื้นอย่างเย็นชา พอเดินเข้าไปในจวนสกุลเฉิงแล้วก็เอ่ยถามพ่อบ้านว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
พ่อบ้านเห็นว่าเป็นคนที่จวนฉือหนิงอ๋องส่งมา จึงได้แต่ยิ้มฝืดๆ พลางเอ่ย “เป็นบ้านสามีของผู้เสียชีวิต…”
ผู้มาเยือนแค่นเสียงเย็นชาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็เอ่ยสั่งการว่า “ท่านอ๋องมีคำสั่งว่าเรื่องนี้ไม่ต้องให้จวนสกุลเฉิงของพวกเจ้าเข้ามาก้าวก่าย แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองเสีย!”
หลังจากหวังเฉี่ยวผู้นั้นร้องไห้โวยวายอยู่ยกหนึ่ง พอเห็นว่าไม่มีใครออกมาจากจวนสกุลเฉิงอีกก็จำต้องพาศพไหม้เกรียมกลับไปด้วยความโกรธแค้น ใช้แค่เสื่อห่อหุ้มเอาไว้ นำไปโยนทิ้งที่ลานทิ้งศพไร้ญาติให้จบๆ เรื่องไป
แต่น่าเสียดาย ข่าวคราวที่ครอบครัวนางได้รับเงินก้อนโตมาแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เพียงเวลาแค่ไม่กี่วันก็ถูกโจรยกเค้ากลางดึก
อันที่จริงเพื่อนบ้านโดยรอบต่างก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวกันทั้งสิ้น
หากเปลี่ยนเป็นบ้านอื่น เพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงจะต้องฟาดฆ้องตีกลองแบกขวานแบกจอบออกไปช่วยขับไล่คนร้ายให้ล่าถอยแล้ว
ทว่าน่าเสียดายที่หวังเฉี่ยวผู้นั้นปกติปากคอเราะรายจนล่วงเกินเพื่อนบ้านไปทั่ว ตอนนี้พอได้เงินจากการที่ลูกสะใภ้เอาชีวิตเข้าแลกก็พาให้ทุกคนอิจฉาตาร้อนเข้าไปใหญ่ ยามเภทภัยมาเยือนพวกชาวบ้านจึงต่างคนต่างเฝ้าประตูบ้านตนเอง รอดูเรื่องสนุกๆ ผ่านข้างกำแพง
ได้ยินว่ามีชายฉกรรจ์ปิดหน้าปิดตาสิบกว่าคนสังหารครอบครัวของเซวียเซิ่งยกบ้าน สุดท้ายยังจุดไฟเผาเรือนแล้วเผ่นหนีไป
เมื่อคดีนี้ไปถึงที่ทำการอำเภอ ทางการก็แค่ส่งคนมาสืบสวนพอเป็นพิธี แล้วปล่อยให้เรื่องจบลงทั้งอย่างนั้น
ภายหลังพวกชาวบ้านสะเทือนใจกับคดีฆ่าคนสกุลเซวียอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องนี้ไป ส่วนสะใภ้เด็กตัวน้อยที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามผู้นั้นก็ยิ่งถูกลืมเลือนเอาไว้ข้างหลัง
พวกเขาคงคิดไม่ถึงว่านางหนูที่เดิมน่าจะถูกเผาจนร่างดำเกรียมผู้นั้น ยามนี้กำลังอยู่บนรถม้าซึ่งมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง
ในตอนแรกที่นางหนูอยู่ที่ศาลบรรพชนของสกุลเฉิงนั้น นางก็แอบลอบวางแผนกับตนเอง คิดจะฉวยโอกาสหนีไปด้วยซ้ำ
ตอนที่เดินเข้าไปในเรือน นางหมายตาไว้แล้วว่าประตูข้างของเรือนชั้นนอกมักจะมีนายช่างเดินเข้าเดินออก ถ้าหากสบโอกาสก็สามารถแอบขึ้นรถม้าขนไม้ที่ด้านนอกได้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 พ.ค. 67