บทที่ 25-4 คาดคั้นเอาผิด
วันนี้ใต้เท้าผู้ว่าการถูกเฉิงเทียนฟู่ส่งคนไป ‘เชิญ’ มา เขาอยู่ในชุดคลุมนอนเปิดข้อเท้าเปล่าเปลือย ไม่ได้สวมถุงเท้า ใส่เพียงรองเท้าไม้คู่หนึ่งพลางดูการรบราต่อสู้ในครอบครัวอันสุดแสนจะน้ำเน่ามาตลอดทั้งช่วงเช้า จึงเข้าใจกระจ่างว่าหากคดีนี้ถูกจำขึ้นไปพิจารณาในศาลจริงๆ เช่นนั้นทั้งหน้าตาทั้งศักดิ์ศรีความเป็นคนของใต้เท้าเฉิงก็คงจะย่อยยับป่นปี้ไม่มีเหลือ
ตอนนี้ใต้เท้าเฉิงยังไม่เข้าใจสถานการณ์ ใต้เท้าผู้ว่าการจึงเอ่ยวาจาชี้ทางกระจ่างให้เขาด้วยความปรารถนาดี “คือว่า…ใต้เท้าเฉิง ท่านควรกังวลกับเรื่องตรงหน้าและปกป้องชื่อเสียงของบุตรสาวก่อน ไม่อย่างนั้นหากคุณหนูเต๋อฉิงแขวนคอเสียชีวิตที่นี่ขึ้นมา เกรงว่าฮูหยินของท่านกับหลานชายคงจะต้องถูกจับใส่ตรวนไม้ขึ้นศาลไต่สวนในข้อหาบังคับขืนใจไม่สำเร็จจนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต…”
ครั้นได้ยินใต้เท้าผู้ว่าการเตือนสติ เฉิงเผยเหนียนก็สะดุ้งเฮือกหนึ่งที จากนั้นก็ไม่พูดอันใดอีก
ใต้เท้าผู้ว่าการเป็นคนฉลาด ย่อมรู้ว่าแม่ทัพน้อยเฉิงพาตนเองมามิใช่แค่เพื่อมาเป็นสักขีพยานอย่างเดียวแน่ๆ เพื่อให้ได้กลับบ้านเร็วสักหน่อย ต่อจากนั้นอันใดที่เกลี้ยกล่อมได้เขาก็ช่วยเกลี้ยกล่อม อันใดที่ข่มขู่ได้เขาก็ช่วยข่มขู่ ในที่สุดก็เปิดรอยแยกเล็กๆ ในสมองของเฉิงเผยเหนียนได้เสียที
ก่อนหน้านี้เฉิงเผยเหนียนก็สูญเสียความโปรดปรานจากฝ่าบาทไปเพราะคดีภาษีเกลือ หากยามนี้ถูกคนยื่นฎีกากล่าวโทษว่าคุณธรรมส่วนบุคคลบกพร่อง เช่นนั้นก็คงจะไม่มีอนาคตอันใดให้พูดถึงอีกแล้ว
ตอนนี้ทุกคนนั่งรวมอยู่ที่เดียวกัน มีใต้เท้าผู้ว่าการช่วยพูดไกล่เกลี่ยให้ ในที่สุดก็กำหนดเรื่องการแต่งงานของเฉิงเต๋อฉิงเรียบร้อย บนหนังสือสมรสไม่เพียงแต่มีลายนิ้วมือของเซิ่งกุ้ยเหนียงเท่านั้น ยังมีการลงนามลายมือชื่อของเฉิงเผยเหนียนอีกด้วย ต่อไปหากเฉิงเผยเหนียนกลับคำอีกก็แถไถไม่ได้แล้ว
ในขณะที่ทุกคนเขียนร่างเอกสารอยู่นั้น หลิ่วจือหว่านก็นั่งระบายลมหายใจเฮือกใหญ่เบาๆ อยู่อีกด้านหนึ่ง
หลังจากเกิดเรื่องกับเฉิงเต๋อฉิง หลิ่วจือหว่านก็รู้สึกผิดมาโดยตลอด นางไม่ควรฟังคำพูดของเฉิงเต๋อฉิงแล้วไม่ยอมบอกญาติผู้พี่เกี่ยวกับเรื่องของคุณชายสกุลเถียน ยามอยู่ในสกุลเซิ่ง นางนับตนเองเป็นคนนอกมาโดยตลอด ดังนั้นบางครั้งเวลาทำอันใดก็ต้องคะนึงถึงท่าทีของผู้อื่นด้วย
เฉิงเต๋อฉิงไม่อยากให้นางยุ่งไม่เข้าเรื่อง นางก็ยึดมั่นในหลักการที่ว่ามีเรื่องน้อยดีกว่ามีเรื่องมาก แต่นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นนี้…
เถียนเพ่ยหรงผู้นี้สมกับเป็นบุตรสาวของเถียนเสียนจง ชั่วช้าเลวทรามอย่างถึงขีดสุดจริงๆ ไม่มีความใจกว้างอารีเหมือนอย่างสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลใหญ่โตเลยสักนิด…เพียงแต่ไม่รู้ว่าพอกลับไปคราวนี้ญาติผู้พี่จะตำหนิตนเองที่รู้เรื่องแต่ไม่ยอมรายงานหรือไม่…
ขณะที่นางก้มหน้าครุ่นคิดแล้วเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งนั้น ก็เห็นญาติผู้พี่เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้พร้อมกับขมวดคิ้วจ้องมองตน ดูท่าทางเหมือนจะไม่พอใจตนเองอย่างเต็มเปี่ยม…
“เจ้าทำเช่นนี้ใช้ได้ที่ใดกัน!” พอเขาเปิดปากก็เอ่ยติเตียนทันที น้ำเสียงเย็นยะเยือกยิ่ง
หลิ่วจือหว่านรู้สึกผิดต่อข้าวสุกของสกุลเซิ่งที่กินมาตลอดหลายปีนี้ จึงก้มหน้าพลางลุกยืน ระหว่างที่กำลังจะเอ่ยปากยอมรับผิดก็ได้ยินเฉิงเทียนฟู่พูดเสียงต่ำเบาว่า “ถึงจะรีบร้อนออกมาข้างนอกก็ควรจะแต่งตัวให้ดีๆ…สวมนี่เอาไว้ก่อน”
พูดจบเขาก็ถอดชุดคลุมตัวนอกของตนเองออก จากนั้นก็ยื่นให้หลิ่วจือหว่าน