บทที่ 25-5 คาดคั้นเอาผิด
หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งได้รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้แล้ว โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินว่าเฉิงเต๋อฉิงเกือบจะแขวนคอตาย นางก็โกรธจนตบโต๊ะฉาด ตวาดใส่หวังซื่อกับเซิ่งกุ้ยเหนียงว่า “เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ขึ้นกลับไม่มาบอกข้า พวกเจ้านี่ใจกล้าขึ้นแล้วจริงๆ!”
เคราะห์ดีที่หลิ่วจือหว่านนั่งอยู่อีกด้านด้วย จึงช่วยลูบหลังให้ท่านย่าหายใจคล่องขึ้น ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “เมื่อคืนทุกคนล้วนร้อนใจกันแทบแย่ พวกท่านแม่เองก็กลัวว่าหากบอกตอนนั้นจะทำให้ท่านย่าตกอกตกใจเข้า บัดนี้เรื่องราวได้รับการแก้ไขสมบูรณ์แล้ว ข้าเห็นว่าเต๋อฉิงก็ชอบเสนาธิการหยวนผู้นั้นไม่น้อย มิได้เกิดความคิดขึ้นมากะทันหันเหมือนอย่างที่ท่านอาหญิงพูดเลยเจ้าค่ะ”
ท่านย่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็สั่งให้เฉิงเทียนฟู่ไปเรียกเสนาธิการหยวนผู้นั้นเข้ามาพบสักครา
สุดท้ายจู่ๆ เบื้องหน้าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งก็ปรากฏเสาเล็กสีดำอันสูงใหญ่มหึมาต้นหนึ่งโดยที่นางมิได้ทันตั้งตัว ทำเอาท่านผู้เฒ่าตื่นตกใจจนร่างกายหงายไปด้านหลังเล็กน้อย แต่ยังโชคดีที่มีหลิ่วจือหว่านผู้เป็นหลานสาวประคองเอาไว้
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งผ่านเรื่องราวมามาก ไม่นานนักก็สงบเยือกเย็นลงได้ เพียงแค่เอ่ยให้ว่าที่หลานเขยในอนาคตผู้นี้นั่งลงด้วยวาจานุ่มนวล หลังจากนั้นก็สอบถามอายุ วันเกิด รวมไปถึงสภาพการณ์ของบิดามารดาที่บ้านของเขา
หยวนกวงต๋าตอบคำถามทีละข้อๆ อย่างสัตย์ซื่อเป็นธรรมชาติ บอกแค่เพียงว่าตนเองอายุยี่สิบปี บ้านเดิมอยู่แถบทางเหนือ ดำรงชีวิตด้วยการเลี้ยงวัวเลี้ยงแกะ
เขาเป็นบุตรชายคนรองของที่บ้าน บิดามารดามีพี่ชายคนโตคอยดูแล เขาไม่ชอบเรียนหนังสือ ดังนั้นจึงออกมาผจญภัยเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุยังน้อย มาขอพึ่งพาอยู่ใต้บัญชาการของแม่ทัพน้อยเฉิง
พอฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งถามเขาว่าที่บ้านมีปศุสัตว์กี่ตัว หยวนกวงต๋าก็เกาศีรษะแกรกๆ พลางเอ่ยตอบว่า “เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้ขอรับ แต่ไรมาข้าไม่เคยสนใจกิจการของที่บ้าน อีกทั้งยังออกจากบ้านมาเนิ่นนาน ไม่รู้ว่าวัวแกะเหล่านั้นป่วยตายไปหมดแล้วหรือไม่…
ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่ง มารดาข้าเคยบอกว่าสัตว์มีขนหอบหายใจแรงล้วนมิใช่ทรัพย์สิน เพราะหากเกิดโรคระบาดเข้าก็จะไม่เหลือเลย ดังนั้นท่านแม่เองก็ไม่บอกข้าเช่นกัน นางกลัวว่าหากคนรู้เยอะ ถูกเทพเจ้าแห่งโรคระบาดเพ่งเล็งเข้าจะไม่ดี”
พอเซิ่งกุ้ยเหนียงได้ฟังถ้อยคำทึ่มทื่อเช่นนี้อยู่อีกด้านหนึ่งก็โบกพัดกลมผ้าโปร่งบางไม่หยุด ท่าทางเหมือนหายใจไม่สะดวกเท่าใดนัก
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งได้ยินแล้วก็พยักหน้าน้อยๆ ไม่เอ่ยถามต่อไปอีก อย่างไรเสียไม่ว่าจะถามเช่นไรก็เป็นเพียงเจ้าหนุ่มยากจนคนหนึ่งเท่านั้น วันข้างหน้าเฉิงเต๋อฉิงยังต้องเพิ่มสินเดิมชดเชยเข้าไปอีก
เซิ่งเซียงหลันนั่งเบ้ปากอยู่อีกด้าน รู้สึกว่าหยวนกวงต๋านั่นมิได้ไร้เดียงสาเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก ที่บ้านมีวัวมีแกะเท่าใด ใช้ตามองปราดเดียวก็รู้แล้วมิใช่หรือ แต่เขากลับพูดเลี่ยงๆ ว่าไม่รู้ เห็นได้ชัดว่ากลัวจะถูกสกุลเซิ่งดูถูกดูแคลน
หากสกุลเซิ่งล้มเลิกการแต่งงานขึ้นมา เขาก็ไม่ได้แต่งนางหนูมหาเศรษฐีอย่างเฉิงเต๋อฉิงเป็นภรรยาแล้ว
ดูจากชะตากรรมของญาติผู้พี่ในครานี้แล้ว การมีมารดาที่ไม่รู้จักยืนหยัดหนักแน่น สู้ไม่มียังจะดีเสียกว่า!