ถึงแม้ปกติเซิ่งเซียงหลันจะปากร้ายไม่รักษาน้ำใจคน แต่อย่างไรก็ยังเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง คำว่า ‘บิดามารดายังอยู่ครบ’ ที่ท่านอาหญิงพูดในตอนท้ายทิ่มแทงใจดำของนางเหลือเกิน ดังนั้นหลังจากออกมาแล้วนางจึงกระทืบเท้าเร่าๆ อย่างเกรี้ยวกราดพลางเอ่ยเสียงต่ำเบาว่า “ท่านอาหญิงหมายความว่าอย่างไรกัน ดูถูกที่พวกเราเป็นลูกไม่มีบิดามีมารดาใช่หรือไม่!”
หลิ่วจือหว่านรีบหยุดหัวข้อสนทนานี้เอาไว้ จูงมือนางเดินไปอีกพักหนึ่งแล้วถึงค่อยพูดว่า “ท่านอาหญิงก็แค่บอกว่าตนเองอยากหาสะใภ้เช่นไร เกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วยเล่า อยู่ๆ เจ้าก็ร้องไห้ไม่มีสาเหตุ ประเดี๋ยวผู้อื่นเขาจะเข้าใจผิดเอาได้”
เซิ่งเซียงหลันสูดจมูกโดยแรง ถลึงตาใส่พี่สาว เอ่ยอย่างไม่ใคร่ยอมแพ้นัก “ท่านได้ยินคำพูดของท่านอาหญิงแล้วไม่โกรธเลยหรือ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ความในใจของท่านนะ ท่านเองก็ต้องใจญาติผู้พี่เหมือนกันมิใช่หรือ”
หลิ่วจือหว่านรู้สึกขบขัน “เอาคำพูดนี้มาจากที่ใดกัน”
“มิฉะนั้นเหตุใดท่านต้องส่งน้ำแกงไปให้เขาอยู่เรื่อยด้วยเล่า”
หลิ่วจือหว่านพูดไม่ออกเล็กน้อย ถึงแม้จะอายุยังน้อย แต่ก็ถือว่าเติบโตกับพวกคุณหนูในจวนมาด้วยกันหลายปี ทว่าเรื่องที่นางคิดอยู่ในสมองนั้นไม่เกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างชายหญิงเลยแม้แต่นิดเดียว
วันคืนที่ต้องทนหิวทนหนาวเหน็บเมื่อกาลก่อนนั้นยังปรากฏเข้ามาในความฝันเป็นครั้งคราว นางคิดแต่อยากจะแก้แค้นให้บิดามารดาและญาติพี่น้อง คิดแต่ว่าจะหาเงินทองอย่างไร เรื่องสำคัญที่ขบคิดอยู่ในใจไม่ใช่เรื่อง ‘รักไม่รัก’ อันใดนั่นแน่นอน
แม้บางครั้งนางก็ไม่อยากจะสนใจเซิ่งเซียงหลันเช่นกัน แต่พอคิดว่าตนเองยังอยู่ในฐานะเซิ่งเซียงเฉียว ใช้ชีวิตสุขสบายไร้พะวงอยู่ในจวนสกุลเซิ่ง อย่างไรก็ต้องทำหน้าที่พี่สาวแทนเซิ่งเซียงเฉียวบ้าง
ดังนั้นนางจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยอย่างระอาใจว่า “ข้ามิได้ส่งให้ญาติผู้พี่คนเดียวเสียหน่อย ท่านย่ากับมารดาเอก รวมไปถึงทางฝั่งท่านอาหญิงข้าก็ส่งให้ ส่วนเจ้ากับเต๋อฉิงธาตุในร่างกายออกไปทางเย็น ซ้ำยังกลัวอ้วน ไม่เหมาะจะดื่มน้ำแกงเยอะ ข้าเลยปรุงยาลูกกลอนบำรุงโฉมรักษารูปร่างให้พวกเจ้าทั้งสองคนแทน หากว่าตามความหมายในคำพูดของเจ้าแล้ว ข้าก็ต้องใจพวกเจ้าทุกคนเลยน่ะสิ ข้าต้องแต่งให้ทุกคนจนครบเลยหรือไม่เล่า”
เซิ่งเซียงหลันถูกคำพูดของนางตอกกลับจนอับจนวาจาไป
เพราะว่าถ้อยคำที่พี่สาวเอ่ยมาแต่ละประโยคล้วนเป็นความจริง ตลอดหลายปีมานี้พี่สาวดูแลทั้งคนเฒ่าคนแก่ลูกเด็กเล็กแดงในจวนอย่างรอบคอบเหมาะสมทุกคนจริงๆ
บางครั้งระดับความละเอียดอ่อนเอาใจใส่นั้นทำให้คนเคลือบแคลงสงสัยว่านางเป็นบ่าวรับใช้ที่ถูกจ้างวานมา หรือไม่ก็เป็นนกกระจอกที่บินถลาเข้าจวนมาตอบแทนบุญคุณ* มากกว่า หาใช่คุณหนูใหญ่ผู้ถูกประคบประหงมดูแลอยู่ในจวนไม่
เซิ่งเซียงหลันรู้สึกผิดขึ้นมาทันที พอนึกถึงคำพูดของท่านอาหญิงนางก็ยิ่งสิ้นหวัง ได้แต่กอดเอวของพี่สาวเอาไว้ จู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมาในอ้อมกอดของนาง
“ท่านพี่ แล้วท่านว่าข้าควรทำเช่นไรเล่า หรือข้าต้องหาชายฉกรรจ์หยาบกระด้างตัวดำเมี่ยมอย่างกับก้อนถ่านเหมือนหยวนกวงต๋ามาแต่งด้วย อี๋เหนียงข้าไม่อยู่ข้างกาย ไม่มีใครคิดเป็นห่วงข้าเลย ข้าคิดถึงมารดาแท้ๆ ของข้าแล้ว แต่ท่านย่าก็ไม่ยอมปล่อยนางกลับมา…ฮือๆ…ข้าควรจะทำอย่างไรดี”
หลิ่วจือหว่านถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะตบหลังเซิ่งเซียงหลันเบาๆ เอ่ยปลอบใจ
“พูดเหลวไหล ท่านแม่เป็นห่วงเจ้าจะตายไป หลายวันก่อนเจ้างอแงอยากจะออกไปข้างนอก ท่านแม่ก็พาเจ้าไปด้วยมิใช่หรือ อีกอย่างท่านย่าก็ไม่ปล่อยให้เจ้าแก่ตายอยู่ในบ้านหรอก เพียงแต่…การแต่งงานจะดูเพียงว่าอีกฝ่ายชาติตระกูลสูงหรือต่ำแค่นั้นมิได้ ยังต้องดูด้วยว่าทั้งสองคนถูกชะตาตรงใจกันหรือไม่ หาไม่แล้วต่อให้มั่งคั่งมีเกียรติยศเพียงไรก็เป็นเพียงดอกถานฮวา ชั่ววูบเท่านั้น
เจ้าเป็นสตรี ในเรื่องการแต่งงานอย่าได้เสนอตัวมากเกินไป ช่วงหลายวันก่อนหน้านี้เจ้าเอาแต่โผล่ไปปรากฏตัวต่อหน้าคุณชายห้า ถึงแม้ฉากหน้าคุณหนูคนอื่นๆ จะไม่ได้พูดอันใด แต่ลับหลังก็หัวเราะเยาะเจ้าเช่นกัน ท่านอาหญิงบอกแล้วมิใช่หรือว่านางได้ไหว้วานแม่สื่อให้แล้ว เจ้ารอสักหน่อยเถิด อย่างไรเสียข้าก็ไม่รีบร้อนออกเรือนอยู่แล้ว ถ้ามีคนดีๆ ก็ให้เจ้าเลือกก่อนทั้งหมดเลย ดีหรือไม่”
วาจานี้หยอกกระเซ้าเซิ่งเซียงหลันจนหัวเราะออกมาทั้งน้ำตาได้ในที่สุด
ทว่าพอวันนี้ได้ยินคำพูดของเซิ่งกุ้ยเหนียง หลิ่วจือหว่านเองก็ลอบย้ำเตือนกับตนเองเช่นกันว่าต่อไปนี้อย่าทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับญาติผู้พี่มากเกินไปเด็ดขาด
ท่านอาหญิงพูดถูก ญาติผู้พี่เป็นคนที่มีอนาคตสดใสยาวไกล จะมาตกเป็นขี้ปากผู้อื่นเพียงเพราะคำพูดซุบซิบนินทาเล็กๆ น้อยๆ ให้คนอื่นรู้สึกว่าสกุลเซิ่งมีแต่เรื่องวุ่นวายไม่สงบมิได้
ด้วยเหตุนี้หลังจากนั้นมานางจึงไม่ไปที่ห้องหนังสืออีก แม้กระทั่งน้ำแกงบำรุงร่างกายให้ญาติผู้พี่ก็เลิกยกไปส่งเช่นกัน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 มิ.ย. 67