บทที่ 38-4 ไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็ง
ตอนเริ่มแรกเยวี่ยขุยเพียงลองหยั่งท่าทีดูก่อนเท่านั้น รถขนเกลือสองสามคันที่ส่งออกไปล้วนบรรทุกเกลือจำนวนไม่มากนัก
หลังจากพบว่าด่านตรวจซึ่งที่ทำการอำเภอตั้งไว้ก่อนหน้านี้ถูกยกออกไปหมดแล้ว เยวี่ยขุยก็คิดว่านายอำเภอเฉิงรู้จักประพฤติตัวเป็นผู้เป็นคนแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงวางใจให้คนของตนเองปล่อยเกลือเถื่อนจำนวนมากออกไป
แต่ในขณะที่เยวี่ยขุยคิดว่าสบายใจได้แล้วนั้น เกลือเถื่อนห้าสิบกว่าคันรถของเขาก็ถูกคนของนายอำเภอเฉิงยึดเอาไว้ทั้งหมดในชั่วข้ามคืน
เจ้าหน้าที่ในที่ทำการล้วนแต่เป็นคนของเยวี่ยขุยทั้งสิ้น ตอนที่ผู้ใต้บัญชาแอบมาแจ้งข่าวให้เขาทราบยังพูดด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “นายอำเภอเฉิงเลวทรามเกินมนุษย์จริงๆ! แม้แต่เจ้าหน้าที่ในที่ทำการอย่างพวกเราก็ยังปิดบัง ว่ากันว่าเขายืมกำลังพลมาจากหัวหน้าทหารไป๋ของอำเภออี้เซิงที่อยู่ข้างๆ แอบตั้งด่านตามท่าเรือและปากทางต่างๆ แค่พริบตาเดียวก็ยึดสินค้าจำนวนมากเหล่านี้เอาไว้ได้”
เยวี่ยเต๋อเหวยได้ยินคำพูดนี้ก็โมโหจนตบโต๊ะทันที “ท่านพ่อ เฉิงเทียนฟู่ผู้นี้ไร้ยางอายจริงๆ รับเงินของพวกเราไปมากมายเพียงนั้น แต่กลับไม่ทำตามที่ขอ! นี่เขาหมายความเช่นไรกันขอรับ หรือว่ายังอยากจะรีดทรัพย์พวกเรา? ไม่อย่างนั้นพวกเราจัดการขั้นเด็ดขาด เก็บเจ้าเด็กนี่เถิดขอรับ!”
ในดวงตาของเยวี่ยขุยก็เต็มไปด้วยจิตสังหารเช่นกัน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของการขายเกลือ เกลือเถื่อนจะต้องถูกปล่อยออกไปตามท้องตลาดก่อนที่จะกำหนดราคาเกลือหลวงเท่านั้น เช่นนี้ถึงจะทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ
บัดนี้พอถูกเฉิงเทียนฟู่ขัดขวางเข้า ทุกอย่างก็ผิดแผนไปหมด เขาจะต้องเรียกตัวนายอำเภอเฉิงผู้นี้มาพูดคุยกันจริงจังต่อหน้าให้ได้ ดูซิว่าอีกฝ่ายมีเจตนาจะทำอันใดกันแน่
เพียงแต่ระยะนี้เชิญตัวนายอำเภอเฉิงไม่ง่ายนัก หลังจากส่งคนไปเชื้อเชิญอยู่หลายครั้งล้วนไร้ผล เยวี่ยขุยก็เข้าใจแล้วว่านี่นายอำเภอเฉิงต้องการจะวางท่ายกตำแหน่งขุนนางมาข่มเขา
ดังนั้นเขาจึงให้บุตรชายนั่งเกี้ยวไปยังที่ทำการชั่วคราวแห่งนั้นเพื่อไปพูดคุยกับเฉิงเทียนฟู่ด้วยตนเอง
เยวี่ยเต๋อเหวยจงใจเลือกช่วงเวลาไปที่ทำการตอนใกล้เที่ยงวัน คิดอยากจะเลี้ยงสุราอาหารแก่เฉิงเทียนฟู่ จะได้ดื่มไปคุยไป
เขาไปถึงที่ทำการแล้วก็สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปรายงานเฉิงเทียนฟู่ ตอนที่เดินเข้าไปในห้องโถงก็พบว่านายอำเภอเฉิงกำลังกินข้าวอยู่ก่อนแล้ว
นายอำเภอเฉิงผู้นั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก เบื้องหน้าเป็นโต๊ะกินข้าวเตี้ยๆ ที่พบเห็นได้ทั่วไป
ข้างๆ มีแม่นางน้อยอ่อนหวานเยาว์วัยผู้หนึ่งกำลังยกกับข้าวออกมาจากกล่องใส่อาหารทีละอย่างๆ
ดูจากรูปโฉมงดงามหยาดเยิ้มของแม่นางผู้นั้นแล้วคงจะเป็นอนุนอกเรือนของเฉิงเทียนฟู่แน่ๆ
เมื่อเฉิงเทียนฟู่เหลือบเห็นเยวี่ยเต๋อเหวยเดินเข้ามาก็ไม่แม้แต่จะเงยศีรษะ เอาแต่นั่งอยู่ข้างๆ โต๊ะตัวเล็กด้วยท่าทางสุขสำราญใจ กินอาหารที่อยู่ในถ้วยอย่างจดจ่อ
อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือของหลิ่วจือหว่านทั้งสิ้น
เพราะหลิ่วจือหว่านเห็นว่าอาหารท้องถิ่นมีแต่รสเผ็ดเสียเป็นส่วนมาก ไม่ดีต่อการฟื้นตัวของบาดแผลเฉิงเทียนฟู่ ดังนั้นตอนที่เฉิงเทียนฟู่ทำงานยุ่งจนไม่สามารถกลับมากินข้าวได้นั้นนางก็นำอาหารมาให้ที่ทำการด้วยตนเอง เขาจะได้ไม่ต้องกินอาหารท้องถิ่นเผ็ดๆ
ในช่วงระยะนี้ที่อยู่อำเภอก้งเซี่ยน นางกลับได้งัดฝีมือการทำอาหารที่เคยฝึกฝนสมัยเป็นสะใภ้เด็กตอนอยู่ที่สกุลเซวียออกมาใช้
การที่นางต้องแสดงฝีมือทำอาหารเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะอาหารฝีมือของจิ้นเป่ารสชาติย่ำแย่พอๆ กับเศษอาหารที่เอาไว้ให้หมูกินไม่มีผิด เหนียวหนืดเต็มหม้อไปหมดอยู่ร่ำไป ดังนั้นหลิ่วจือหว่านจึงต้องลงมือต้มแกงด้วยตนเอง
เฉิงเทียนฟู่ชอบอาหารที่นางทำยิ่ง เขายังโทษนางว่าแอบซุกซ่อนฝีมือเอาไว้ ตอนอยู่ที่สกุลเซิ่งไม่เห็นเคยทำให้เขากินเลยสักครั้ง หลิ่วจือหว่านจึงอธิบายไปว่าคนที่มีพื้นเพเป็นเด็กยากจนอย่างนางเห็นคุณค่าของโอกาสที่อุตส่าห์ได้เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ยิ่งนัก มีเพียงคนที่กินอิ่มแน่นท้องแล้วไม่มีอันใดทำเท่านั้นถึงจะไปเปลืองแรงทำอาหารในห้องครัวของสกุลเซิ่งให้ผู้อื่นกิน
สุดท้ายหลิ่วจือหว่านก็อดสะทกสะท้อนใจมิได้ ‘แต่นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้ววนไปวนมาจนมาถึงอำเภอก้งเซี่ยน หลูอีเซี่ยนจู่ผู้สูงศักดิ์อย่างข้ากลับต้องมาใช้ชีวิตอย่างสะใภ้เด็กในชนบทอีกครั้ง…ไม่ได้ อีกสองวันข้าต้องหางานทำแล้ว…’