ซ่อนกลิ่น
ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 39.1-39.3
ส่วนทางฝั่งสกุลเยวี่ยก็คอยจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของเฉิงเทียนฟู่อยู่ตลอดเวลา
เยวี่ยขุยเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเฉิงเทียนฟู่ผู้นี้จะไร้ความคิดความอ่านถึงเพียงนี้ แม้แต่ท่านเจ้าเมืองก็ไม่อาจโน้มน้าวให้เขาปล่อยบุตรชายของตนเองได้
ที่ปรึกษาจากสำนักต่างๆ ที่เขาชุบเลี้ยงเอาไว้เหล่านั้นต่างก็พากันแสดงความคิดเห็นว่าหากไม่กำจัดเฉิงเทียนฟู่ผู้นี้ทิ้งเสีย กิจการค้าขายเกลือในอำเภอก้งเซี่ยนก็ไม่มีทางสงบสุขได้แน่นอน นายอำเภอผู้นี้ถ่วงรั้งการหาเงินหาทองของทุกคนมากเกินไป!
เมื่อได้ยินว่าเฉิงเทียนฟู่ไปเยี่ยมเยือนพ่อลูกสกุลอู๋ เยวี่ยขุยก็แค่นเสียงเย็นชาหนึ่งทีอย่างไม่ใส่ใจโดยสิ้นเชิง “เขาก็คิดจะซื้อตัวชาวยุทธ์ไว้ใช้ประโยชน์เช่นเดียวกับข้ารึ แต่น่าเสียดายที่ตาของเขาไม่มีแววสักเท่าใด ถึงได้ไปดึงตัวพวกตาแก่ขาเป๋ของสกุลอู๋มาเป็นสุนัขรับใช้! ข้าอยากจะเห็นนักว่านายอำเภอเฉิงผู้นี้จะเล่นลูกไม้อันใดได้”
พวกที่ปรึกษาก็พากันหัวเราะอย่างเย็นชา “ถ้ามิใช่เพราะท่านหัวหน้าสมาคมยังเห็นว่าเหล่าอู๋ถือเป็นคนเก่าคนแก่ในอำเภอก้งเซี่ยน ป่านนี้ที่นี่คงไม่มีที่ให้พวกเขายืนไปนานแล้ว ครั้งนี้หากท่านไม่ให้บทเรียนกับเฉิงเทียนฟู่เสียบ้าง เขาจะรู้จักความตื้นลึกหนาบางของกิจการค้าเกลือได้อย่างไร พอถึงตอนประชุมกำหนดราคาช่วงปลายเดือน รับรองว่าเขาได้เห็นดีจนต้องคุกเข่าขอร้องท่านหัวหน้าสมาคมแน่ขอรับ!”
เยวี่ยขุยก็คิดจะทำเช่นนี้จริงๆ
เขาตระเตรียมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการค้าเกลือที่จะมาประชุมกำหนดราคาเอาไว้แล้วว่าหากเกลือขึ้นราคา ล้วนเป็นเพราะต้นทุนในการกลั่นเกลือสูงขึ้นทั้งสิ้น สมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง ขณะเดียวกัน เป็นเพราะเฉิงเทียนฟู่มาถึงอำเภอก้งเซี่ยนแล้วปกครองดูแลไม่เหมาะสม ทำให้ราคาเกลือพุ่งสูงขึ้น ยากจะปัดความรับผิดชอบได้
ไม่เพียงแต่ขุนนางในท้องที่เท่านั้น กับขุนนางเบื้องบนที่อยู่ในเมืองหลวงเหล่านั้นเขาก็สมคบคิดกันเอาไว้แล้ว พอถึงตอนนั้นฎีกามากมายราวกับเกล็ดหิมะก็จะร่วงหล่นใส่เฉิงเทียนฟู่จนตาย
ทว่าเยวี่ยเต๋อเหวยถูกประคบประหงมมาตั้งแต่เด็กๆ ทนรับความทุกข์เข็ญในคุกไม่ได้แม้แต่น้อย
ได้ยินคนข้างในนำความมาบอกว่าคนที่เฝ้าเขามิใช่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่อำเภอก้งเซี่ยนด้วยซ้ำ ล้วนแต่เป็นคนที่เฉิงเทียนฟู่พามาจากเมืองหลวงด้วย แต่ละวันให้คุณชายรองสกุลเยวี่ยนอนแค่สองชั่วยามเท่านั้น กลางดึกก็จะสาดน้ำเย็นปลุกให้ตื่น ให้เขาเขียนบัญชียอดส่งออกเกลือของสกุลเยวี่ยอย่างเงียบๆ
เยวี่ยเต๋อเหวยจะจำได้อย่างไรกัน สุดท้ายก็ร้องไห้หาบิดาตะโกนหามารดา อาละวาดโวยวายให้ปล่อยเขาออกไป
บุตรชายคนรองสกุลเยวี่ยเป็นบุตรที่เกิดจากอี๋เหนียงรองของเยวี่ยขุย เพราะว่าฮูหยินใหญ่ของเขาอายุมากร่างกายอ่อนแอ ในบ้านล้วนได้อี๋เหนียงรองคอยกำกับดูแล ครั้นได้ยินว่าบุตรชายถูกจับ อี๋เหนียงของเขาก็หยาดน้ำตาไหลริน บอกให้เขารีบคิดหาวิธีโดยเร็ว
เยวี่ยขุยสงสารเวทนาบุตรชาย หลังจากตั้งป้อมใส่กันมาหลายวันสุดท้ายเขาก็กัดฟันจ่ายทั้งภาษีและค่าปรับอย่างละสามเท่าตามที่เฉิงเทียนฟู่เรียกร้องจนครบ
เมื่อเยวี่ยเต๋อเหวยถูกปล่อยตัวออกมาจากคุก บุรุษซึ่งเดิมทีรูปร่างอวบอ้วนกลับผ่ายผอมจนกลายเป็นคนละคน เขากอดพ่อบ้านที่มารับเขาเอาไว้พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง พูดโพล่งว่าคุกแห่งนี้มีแต่คนชั่วช้าที่ชอบทรมานผู้อื่น หากเขาไม่ฆ่าเจ้าลูกเต่าที่มาจากเมืองหลวงเหล่านี้ให้ตาย เขาก็ไม่ใช่มนุษย์แล้ว!
เยวี่ยขุยเห็นสภาพบุตรชายได้รับความทุกข์ทรมานหน้าตาก็มืดทะมึนถึงขีดสุด เคียดแค้นจนกัดกรามกรอดๆ
ที่ผ่านมาในอาณาเขตอำเภอก้งเซี่ยนเขาพูดคำไหนคำนั้น นานมากแล้วที่ไม่มีคนกล้าฉีกหน้าเขาเช่นนี้!
เขาไม่จำเป็นต้องรอกำหนดราคาเกลือแล้ว!
เหมือนดั่งที่บุตรชายบอก หากเขาไม่สังหารเฉิงเทียนฟู่ผู้นี้ให้ดูเป็นตัวอย่าง อำเภอก้งเซี่ยนก็คงจะเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่แล้วจริงๆ! เขาจะต้องทำให้เจ้าคนแซ่เฉิงรู้ว่าใครกันแน่ที่มีอำนาจในพื้นที่นี้!
คืนวันที่สามหลังจากเยวี่ยเต๋อเหวยออกมาจากคุกก็มีคนแอบอ้อมไปยังนอกกำแพงหลังบ้านของเรือนสกุลเฉิง พาดกำแพงเตรียมจะลักลอบเข้าไป
ทว่าคนยังไม่ทันเท้าแตะพื้นก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่าระลอกใหญ่ ชายสวมผ้าปิดหน้าเจ็ดแปดคนที่แขวนตัวอยู่บนกำแพงถูกสุนัขดุร้ายห้าตัวดึงกระชากลงมากัดจนร่ำไห้ร้องโหยหวน
สุนัขดุร้ายขาดำหลังสูงเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสุนัขที่เฉิงเทียนฟู่นำกลับมาจากชายแดนทางเหนือด้วย เป็นสุนัขทหารที่กล้าต่อสู้กับฝูงหมาป่าในทุ่งหญ้า โดยทั่วไปเอาไว้ตรวจลาดตระเวนในค่ายทหาร
เพื่อรักษาสัญชาตญาณดิบเถื่อนเอาไว้ ปกติอาหารที่สุนัขกินก็จะเป็นเนื้อสดๆ ที่มีโลหิตติดอยู่ ต่อให้คนชั่วชุดดำพวกนี้โยนซาลาเปาไส้เนื้อผสมยาพิษลงมา ก่อนจะลงมาถึงพื้นสุนัขเหล่านี้ก็ไม่แม้แต่จะดมสักนิดด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นว่ามีผู้มาเยือนโดยมิได้รับเชิญ สุนัขดุร้ายฝูงนี้ก็กระโจนเข้าใส่แล้วเลือกกัดแต่จุดสำคัญ ทำให้นักฆ่าเหล่านี้เจ็บปวดจนไม่มีแรงจะต้านรับ
พอสุนัขส่งเสียงเห่าขึ้นมาห้องโถงก็จุดไฟสว่างไสวทันที โจรร้ายเจ็ดแปดคนถูกองครักษ์พุ่งเข้ามาจับตัวมัดไว้อย่างรวดเร็ว
แต่ว่าโจรร้ายเหล่านี้ก็ถือว่ารับเงินเพื่อมาช่วยขจัดปัญหาให้ผู้อื่น พวกเขายืนกรานว่าตนเองไม่ได้รับคำสั่งจากใคร เพียงแค่เตรียมจะลักลอบเข้ามาขโมยของเท่านั้น
ทว่าสิ่งที่ค้นได้จากตัวของพวกเขาคือเชือกและมีดแหลมคม ยิ่งไปกว่านั้นยังมีดาบและถุงกระดาษมันที่เอาไว้ใช้ใส่ศีรษะมนุษย์ ด้านในยังมีผงปูนขาวสำหรับซับเลือดรองเอาไว้อีกด้วย
พอนึกโยงถึงเรื่องในอดีตก่อนหน้านี้ที่มีนายอำเภอผู้แข็งกร้าวคนหนึ่งถูกคนฆ่าตัดศีรษะทั้งครอบครัว โยนศพทิ้งไว้ในที่รกร้าง ศีรษะถูกเสียบไว้บนเสาธงหน้าประตูเมือง ก็นึกภาพได้ไม่ยากว่าคนกลุ่มนี้เตรียมจะมากระทำการอันใด