ซ่อนกลิ่น
ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 50.1-50.3
บทที่ 50-1 สังหารคนปิดปาก
ในเรือนชั้นในส่วนมากมีแต่สาวใช้อายุน้อย ล้วนแต่ลงนามสัญญาขายตัวชั่วชีวิตทั้งสิ้น เนื่องจากระยะนี้เพิ่งจะตั้งจวน ทุกคนจะต้องเรียนรู้กฎระเบียบ จึงไม่ค่อยได้ติดต่อกับนอกจวนสักเท่าไร กลับเป็นหญิงชรารับใช้ที่ทำงานจิปาถะทั่วไปหลายคนที่มีบุตรหลานต้องเลี้ยงดู จะต้องออกจากจวนไปหาครอบครัวเป็นระยะๆ
เมื่อคัดกรองออกไปเช่นนี้หลายรอบเข้า ในที่สุดก็มีคนระงับความลนลานร้อนตัวไม่ไหว เผยพิรุธออกมาให้เห็น คิดจะฉวยโอกาสช่วงที่สถานการณ์วุ่นวายออกไปจากประตูหลังอย่างไม่บอกไม่กล่าว ลอบหนีไปเงียบๆ
ยามถูกองครักษ์จับตัวมาสอบสวน หญิงชราที่รับผิดชอบกวาดถูในเรือนชั้นในก็พูดทั้งน้ำตาว่าบุตรชายติดพนันของนางเป็นคนมาหานาง บอกว่าขอแค่วาดแผนที่ในสวนหนึ่งแผ่น ระบุตำแหน่งห้องนอนเจ้าของจวนและญาติพี่น้องจากสกุลจางให้ชัดเจนก็จะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินห้าสิบตำลึง
บุตรชายของนางมีหนี้สินล้นพ้นตัว จวนจะถูกผู้อื่นตัดแขนทิ้งอยู่รอมร่อ นางนึกว่าเป็นแค่พวกขโมยจะเข้ามายกเค้าในสวนเซี่ยนหยวน ถึงได้มาขอซื้อแผนที่
นางคิดว่าเซี่ยนจู่ร่ำรวยถึงเพียงนั้น ถูกขโมยของไปบ้างเล็กน้อยก็คงจะไม่เป็นไร นางถึงได้วาดแผนที่นี้ออกมา แต่นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับมาสังหารคน!
หากนางรู้แต่แรก ถึงจะให้เงินนางพันตำลึง หญิงชรารับใช้ก็มิกล้าทำเช่นนี้
ส่วนบุตรชายของหญิงชราผู้นี้สุดท้ายก็ถูกพบตรงที่ทิ้งศพไร้ญาตินอกเมือง ถูกคนกระหน่ำฟันใส่จนเสียชีวิตไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นการสังหารคนปิดปาก
บัดนี้เบาะแสขาดหายไป แต่หลิ่วจือหว่านล่วงรู้แผนการเมื่อวานอย่างกระจ่างแจ้งเป็นที่สุด บนร่างของโจรร้ายเหล่านั้นยังมีน้ำมันผักกาดก้านขาวและแท่งจุดไฟอยู่ด้วย เหมือนกับโศกนาฏกรรมของสกุลจางเมื่อครั้งนั้นไม่มีผิด หลังจากเข่นฆ่าสังหารคนแล้วก็ค่อยจุดไฟเผาจวนให้ราบคาบ ทั่วทั้งเมืองหลวงนี้นอกจากท่านอ๋องผู้เปี่ยม ‘เมตตาธรรม’ ผู้นั้นแล้ว คนที่ทำเช่นนี้ได้ไม่ต้องไปคิดหาคนอื่นอีก!
แต่หลิ่วจือหว่านรู้ดี ไม่ต้องพูดถึงว่าไม่มีหลักฐาน ต่อให้มีหลักฐานจริงๆ ก็เกรงว่าฮ่องเต้ผู้สูงส่งที่ชอบลำเอียงเข้าข้างบุตรชายตนเองผู้นั้นคงจะไม่สะสางคดีอย่างถูกต้องเที่ยงธรรมให้กับบุตรสาวกำพร้าเช่นนาง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะสืบสวนคดีหรือไม่ก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป ยามหลิ่วจือหว่านนั่งอยู่ในห้องโถงพิจารณาคดี เมื่อถูกใต้เท้าผู้ว่าการไต่ถามจึงมีท่าทางใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไรนัก
สุดท้ายนางจึงโพล่งพูดกับใต้เท้าผู้ว่าการว่าตนเองตกใจเสียขวัญเล็กน้อย ต้องกลับไปพักผ่อน หากใต้เท้าผู้ว่าการมีอันใดอยากจะถามก็ค่อยมาสอบถามในวันหลังได้
เพียงชั่วข้ามคืนเมื่อรวมกับสาวใช้ในจวนแล้วมีคนตายไปมากถึงสิบหกคน! คดีใหญ่โตน่าสะพรึงกลัวในเมืองหลวงเช่นนี้ชวนให้คนปวดเศียรเวียนเกล้าจริงๆ
ความจริงแล้วใต้เท้าผู้ว่าการก็อยากจะกอดหมวกขุนนางร้องไห้สักคราเช่นกัน ดังนั้นตามความต้องการของเขาแล้ว เขายังอยากจะสอบปากคำหลูอีเซี่ยนจู่อย่างละเอียดอีกสักรอบ เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นจวนของนาง ต้องสอบถามให้ชัดเจนจะได้ไขคดีได้ในเร็ววัน
ทว่าคำพูดของใต้เท้าผู้ว่าการยังไม่ทันถามจบ ตำหนักบูรพาก็ส่งคนมารับตัวหลิ่วจือหว่านไป บอกว่านางถูกโจรร้ายขึ้นจวน ชายารัชทายาทเป็นห่วงเป็นใยสหายตัวน้อย ร้อนใจอยากจะพบหน้านาง ขอให้เซี่ยนจู่แวะไปที่ตำหนักบูรพาสักประเดี๋ยว
ยามหลิ่วจือหว่านพบชายารัชทายาทอีกครั้ง ชายารัชทายาทเองก็ตกใจจนต้องตบหน้าอกเช่นกัน
“ข้าเองก็เพิ่งจะรู้ว่าตอนที่ญาติผู้พี่เจ้าจะออกเดินทางไปได้ขอร้องรัชทายาทเอาไว้ บอกว่าเขาไม่อยู่ที่เมืองหลวง ขอให้รัชทายาทส่งคนไปคอยดูแลสวนเซี่ยนหยวน ตอนนั้นรัชทายาทยังรู้สึกว่าเขากังวลมากเกินจำเป็น ในเมืองหลวงจะเกิดเหตุวุ่นวายอันใดได้ ตอนนี้แม้แต่รัชทายาทก็ยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมาภายหลังเช่นกัน หากตอนนั้นจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดีแล้วจะแก้ตัวกับญาติผู้พี่เจ้าอย่างไรดี”
หลิ่วจือหว่านรีบเอ่ยขึ้น “ตรัสเช่นนี้ได้อย่างไรกันเล่าเพคะ ครั้งนี้เป็นเพราะรัชทายาททรงช่วยเหลือต่างหาก จะนับว่าญาติผู้พี่สั่งการรัชทายาทได้อย่างไรกัน เขานี่ชักจะเลยเถิดเกินไปแล้วจริงๆ”
ทันใดนั้นรัชทายาทก็เอ่ยเสียงดังขึ้นมา “ต้องนับแน่นอน! เจ้าไม่รู้ว่าก่อนจะออกเดินทางญาติผู้พี่เจ้ามีท่าทีจริงจังเพียงใด แม้แต่สัญญาปากเปล่าก็ไม่ได้ จะต้องให้ทหารรักษาพระองค์มายืนเรียงตรงหน้าให้เขาคัดเลือกด้วยตนเอง ทั้งยังจัดแจงเส้นทางและเวลาในการลาดตระเวนที่สวนอีก! แต่ถึงแม้จะกำชับอย่างละเอียดเพียงนี้แล้ว เมื่อคืนคนเหล่านี้ก็ยังเกือบจะทำงานพลาดพลั้ง หากเจ้าถูกแตะต้องจนผิวหนังหลุดไปแม้แต่นิดเดียว เกรงว่าเมื่อแม่ทัพเฉิงกลับมาจะต้องใช้ไม้ฟาดเจ้าพวกไม่ได้ความเหล่านี้จนตายคาที่แน่นอน!”
หลิ่วจือหว่านเร่งรีบลุกขึ้นถวายบังคมรัชทายาท
รัชทายาทกล่าวด้วยวาจาอบอุ่นนุ่มนวลว่า “รีบลุกขึ้นเร็วเข้า เมื่อคืนนี้ช่างอันตรายเหลือเกิน ข้าได้แจ้งทางผู้ว่าการของเมืองหลวงเอาไว้แล้วว่าจะต้องหาตัวคนร้ายตัวจริงที่บงการอยู่เบื้องหลังออกมาให้ได้”
แต่หลิ่วจือหว่านกลับคิดว่าคนเหล่านั้นกินยาพิษฆ่าตัวตายไปแล้ว นั่นก็หมายความว่าหากคิดจะหาตัวคนร้ายตัวจริงให้พบก็ยิ่งยากเย็นมากขึ้นไปอีก
พวกเขาล้วนเป็นหน่วยกล้าตายที่มีการเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี ยอมตายแต่ไม่ยอมซัดทอดผู้บงการเบื้องหลังออกมา สามารถคาดการณ์ได้ว่าผู้บงการเบื้องหลังมิใช่โจรร้ายตามป่าเขาอย่างแน่นอน
ในใจของหลิ่วจือหว่านรู้ตัวคนร้ายตัวจริงแล้ว ฉือหนิงอ๋องไม่น้อยหน้าใครทั้งสิ้น ถูกจัดให้อยู่ในลำดับที่หนึ่ง
แต่สิ่งที่หลิ่วจือหว่านขบคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจคือหากฉือหนิงอ๋องลงมือเหี้ยมโหดกับนางเพียงเพราะว่านางเป็นบุตรสาวของหลิ่วเฮ่อซู นี่ออกจะลงมืออย่างโจ่งแจ้งเกินไปหรือไม่
จากท่าทีของฉือหนิงอ๋องที่พยายามทำตัวให้เป็นท่านอ๋องผู้เปี่ยมคุณธรรม ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้เชิดหน้าชูตาจากการศึกที่อิ๋งโจว ไม่มีทางเดินหมากอย่างโง่เขลาเช่นนี้เป็นแน่
หากคนเหล่านั้นต้องการสังหารนางก็ยังพอเข้าใจได้ แต่เหตุใดยังต้องระบุตำแหน่งเรือนพักอาศัยที่ครอบครัวท่านลุงอยู่ไว้บนแผนที่ด้วยเล่า หรือว่าเมื่อปีนั้นฉือหนิงอ๋องวางแผนปองร้ายคนสกุลจางแล้วรู้สึกว่ายังไม่สาแก่ใจ จึงคิดจะไล่สังหารให้หมดสิ้นจนไม่มีเหลือ
รัชทายาทเองก็รู้สึกว่าการสังหารคนอย่างรีบร้อนผลุนผลันเช่นนี้ไม่เหมือนกับเป็นการล้างแค้น ดูไปแล้วเหมือนต้องการจะสังหารปิดปากมากกว่า เพียงแต่ไม่รู้ว่าฉือหนิงอ๋องทำเช่นนี้เพราะต้องการปกปิดเรื่องใดกันแน่
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วสวนเซี่ยนหยวนจึงไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ชั่วคราว
ยามหลิ่วจือหว่านเดินออกมาจากตำหนักบูรพา รถม้าของจวนสกุลเซิ่งก็รออยู่ข้างนอกเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งกล่าวว่าจะให้นางหนูสกุลหลิ่วกลับมาพำนักที่จวนเป็นการชั่วคราวสักระยะหนึ่ง แม้แต่ท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้จากสกุลจางของนาง รวมไปถึงบุตรสาวคนเล็กของพวกเขาก็ถูกรับตัวไปที่สกุลเซิ่งด้วยกันทั้งหมด
รัชทายาทเองก็ระดมกำลังคนมาเพิ่มเพื่อคุ้มกันความปลอดภัยทั้งนอกและในจวนสกุลเซิ่ง
เมื่อคนกลุ่มใหญ่มาถึงสกุลเซิ่ง เซิ่งเซียงหลันก็ด่าทอโจรร้ายเลวทรามสามานย์เหล่านั้นอย่างเกรี้ยวกราดรุนแรง
เดิมทีเซิ่งเซียงหลันตกลงกับหลิ่วจือหว่านเอาไว้แล้วว่างานเลี้ยงวันเกิดอายุครบสิบเจ็ดปีของนางจะจัดที่สวนเซี่ยนหยวน
หลิ่วจือหว่านก็รับปากนางแล้ว ทั้งยังจะตัดชุดผ้าดิ้นสูจิ่นให้นางใหม่อีกหนึ่งชุด พอถึงเวลานั้นคนที่จะเชิญมาร่วมงานเลี้ยงก็ล้วนมีแต่คุณหนูผู้มีหน้ามีตาในเมืองหลวง ที่สำคัญที่สุดคือยังมีบรรดาพี่ชายของพวกนางที่ยังไม่ได้แต่งงานอีกด้วย
บัดนี้เหนือเซิ่งเซียงหลันขึ้นไปไม่มีพี่สาวแล้ว สามารถหาบุรุษที่ตรงตามใจปรารถนาแล้วแต่งงานได้พอดี
แผนการที่ตระเตรียมเอาไว้เป็นอย่างดีกลับถูกโจรร้ายกลุ่มนี้ทำให้พังไม่เป็นท่า มีคนตายในสวนมากมายเพียงนั้น แล้วในช่วงนี้ใครจะกล้าไปเที่ยวเล่นที่สวนแห่งนั้นกันเล่า!
เฉิงเต๋อฉิงฟังพวกหนิงเยียนกับจิ้นเป่าเล่าเหตุการณ์ที่ประสบในคืนนั้น พอฟังแล้วครรภ์ก็ปวดแปลบขึ้นมา
เซิ่งกุ้ยเหนียงรีบร้อนปิดหูบุตรสาวเอาไว้ ห้ามไม่ให้นางฟังเรื่องน่าตกใจเสียขวัญเหล่านี้ พร้อมกันนั้นก็พูดกับหลิ่วจือหว่าน
“เจ้ากราบไหว้เทพเซียนอย่างเลื่อมใสไม่มากพอกระมัง ประเดี๋ยวอัญเชิญเซียนจิ้งจอกไปสักองค์ จะได้ปัดเป่ากลิ่นอายอัปมงคลบนร่างเจ้าออกไปสักหน่อย”
เซิ่งเซียงหลันรู้สึกว่าญาติผู้ใหญ่ในจวนต่างไม่พูดในประเด็นสำคัญ จึงต่อว่าหลิ่วจือหว่านด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
“ในจวนเกิดเรื่องใหญ่โตเพียงนี้ เหตุใดท่านถึงไม่ปิดบังเสียบ้างเล่า ค่อยๆ ลอบลำเลียงศพออกมาจากประตูหลังเงียบๆ ไม่ดีกว่าหรือ! คราวนี้คนทั้งเมืองหลวงก็รู้กันหมดแล้วว่าในจวนท่านมีคนตายมากมายเป็นคันรถ ที่ร้ายแรงที่สุดคือคนตายทั้งคน แต่ท่านกลับยืนพูดคุยกับผู้อื่นอยู่ข้างประตูอย่างกับไม่มีใครอยู่โดยรอบ! อย่างน้อยก็ต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอสักหน่อย! นี่เพิ่งจะแค่ครึ่งวันคนข้างนอกก็เล่าลือกันไปทั่วแล้ว บอกว่าท่านชะตาแข็งราวกับดาวพิฆาต พิฆาตบิดามารดาจนตาย หากพระพุทธองค์มาขัดขวางก็พิฆาตพระพุทธองค์ ปีศาจมาขัดขวางก็พิฆาตปีศาจ เป็นบุคคลที่เหมือนกับอสูรร้ายก็ไม่ปาน!”
ครั้นเซิ่งเซียงหลันพูดเช่นนี้หวังซื่อก็กระวนกระวายขึ้นมา “จะ…จะทำอย่างไรดี จือหว่านยังไม่ได้หาคู่ครอง ถูกคนเอาไปพูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
แต่หลิ่วจือหว่านกลับไม่สะทกสะท้าน “หากการที่บิดามารดาเสียชีวิตเป็นเพราะข้าชะตาแข็ง ข้าก็คงเป็นเช่นนั้น คนที่คิดว่าสู้ไม่ไหวก็ควรจะหลีกหนีไปให้ไกลเสีย สตรีเราถ้าคิดจะตั้งจวนด้วยตนเอง ยืนหยัดได้อย่างมั่นคง การทำให้คนกลัวสำคัญกว่าทำให้คนรัก! วันนี้ข้าแค่ต้องการให้ผู้คนเห็นศพเหล่านั้นให้ชัดเจน ต่อไปหากมีโจรร้ายคิดจะมาเอารัดเอาเปรียบสตรีกำพร้าอีกก็ต้องคิดให้ดีๆ เข้ามาในจวนข้าแล้วอย่าคิดว่าจะได้ออกไปอย่างไร้รอยขีดข่วน!”
วาจานี้ทำเอาเซิ่งซูอวิ๋นได้ยินแล้วโลหิตก็พลุ่งพล่านขึ้นมา เขาเป็นเพียงบัณฑิตคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ถึงกับตบโต๊ะพูดกับหลิ่วจือหว่าน
“พี่ใหญ่ ข้าจะกลับจวนไปกับท่าน กอดกระบี่เฝ้าอารักขาท่านในยามราตรีเอง!”
เซิ่งเซียงหลันได้ยินก็โกรธจัดขึ้นมาโดยพลัน สะบัดผ้าเช็ดหน้าพร้อมเอ่ยประชดเสียดสีน้องชายว่า “เจ้านี่ก็ดีแต่ประจบ ไม่รู้จักโน้มน้าวนางเสียบ้าง! ต่อไปพอนางแต่งไม่ออกเจ้าก็จะทิ้งครอบครัวทิ้งหน้าที่การงานไปเฝ้าอารักขาหญิงทึนทึกเช่นนางใช่หรือไม่!”
ไม่ว่าอย่างไรเหตุการณ์ในสวนเซี่ยนหยวนก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตยิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการรักษาความปลอดภัยทั่วเมืองหลวงก็พลันเข้มงวดตามไปด้วย แต่ละตรอกซอกซอยล้วนมีทหารประจำเมืองเดินตรวจตราเฝ้าระวัง
ยามตกดึกแสงโคมไฟตามถนนหนทางสว่างไสวไปทั่วทั้งแถบ
ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือเมืองหลวง เหตุการณ์ที่สวนเซี่ยนหยวนช่างชวนให้คนได้ยินแล้วตกใจเสียขวัญไม่น้อย แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังเอ่ยถามไถ่ด้วยตนเองอยู่หลายครั้ง เรียกใต้เท้าผู้ว่าการซึ่งรับผิดชอบดูแลการรักษาความปลอดภัยในเมืองหลวงมาด่าทออย่างสาดเสียเทเสีย
ในเมืองหลวงล้วนมีแต่เชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ ครอบครัวคหบดีคนร่ำรวย ไม่อาจปล่อยให้โจรร้ายมากระทำการอุกอาจได้
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งเวทนาหลานสาว บอกให้นางมาพักอยู่กับตนเองสักสองสามคืน แต่ว่าหลิ่วจือหว่านกลับไม่กล้า
หากโจรร้ายพวกนั้นพุ่งเป้ามาที่นางจะไม่เป็นการทำให้ท่านย่าติดร่างแหไปด้วยหรือ ถ้ามิใช่เพราะว่าท่านย่ายืนกรานเสียงแข็ง ความจริงแล้วนางอยากจะกลับไปอยู่ที่สวนเซี่ยนหยวนมากกว่าด้วยซ้ำ
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งบอกนางว่าไม่จำเป็นต้องกังวลไป “โจรร้ายพวกนี้เสียหายหนักเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องยังสะเทือนไปถึงฝ่าบาทแล้ว พวกเขาจะกล้าก่อเหตุซ้ำอีกได้อย่างไร แต่ว่าเจ้าต้องระมัดระวังเรื่องต่างๆ ในชีวิตประจำวันให้ดี ของอย่างพวกอาหารทั้งหลายก็ต้องให้หมาแมวในจวนกินก่อน หากคนผู้นั้นหมายจะปองร้ายเจ้าเกรงว่าพอใช้วิธีโจ่งแจ้งไม่สำเร็จก็จะลอบลงมืออย่างลับๆ ทั้งยังมีครอบครัวท่านลุงเจ้าอีก ต้องปกป้องคุ้มครองให้ดีเช่นกัน…เทียนฟู่ไม่อยู่ ข้าต้องดูแลเจ้าแทนเขาให้ดี”
หลิ่วจือหว่านนึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ท่านย่าจะเอ่ยถึงเฉิงเทียนฟู่ขึ้นมา ใบหน้าจึงพลันแดงระเรื่อ แต่ก็กลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง
เฉิงเทียนฟู่วางเดิมพันส่งเดชกับฝ่าบาทอีกแล้ว ทั้งยังมีความคิดที่จะเป็นเขยแต่งเข้าอีก ถ้าเกิดท่านย่าล่วงรู้เข้าจะต้องเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ ดุด่าเขาว่าทำตัวเหลวไหลไร้สาระแน่นอน
แต่นึกไม่ถึงว่าพอท่านย่าเห็นสีหน้าท่าทางร้อนตัวของนางก็พูดออกมาก่อนด้วยตนเองว่า “เรื่องที่ญาติผู้พี่ของเจ้าทำ ก่อนจะไปเขาได้บอกเอาไว้ก่อนแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องปิดบังข้า”
หลิ่วจือหว่านเงยหน้าขึ้นอย่างขลาดกลัว พยายามร้องขอความเมตตาให้ญาติผู้พี่ “เรื่องนี้จะโทษเขาไม่ได้นะเจ้าคะ…เป็นเพราะข้า…”
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งยื่นองุ่นแช่เย็นจานหนึ่งให้หลานสาวก่อนจะเอ่ยกับนางว่า “ภายหลังถ้าท่านอาหญิงเจ้าเอ่ยถามขึ้นมา เจ้าอย่าได้เอาความผิดมาไว้กับตนเองเด็ดขาด บอกแค่ว่าเจ้าไม่ถูกใจเขาสักนิด หากมิใช่เพราะฝ่าบาทพระราชทานสมรส ต่อให้ตายเจ้าก็ไม่ยอม!”
หลิ่วจือหว่านคิดไม่ถึงว่าท่านย่าจะมีอาการตอบสนองเช่นนี้ จึงมึนงงอึ้งงันไปในทันใด
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งเอ่ยด้วยจิตใจสงบนิ่งว่า “ข้าก็อายุปูนนี้แล้ว เคยผ่านภัยสงครามมา ตระกูลบิดาต้องเข้าร่วมสนามรบหมดทุกคน ทั้งยังเคยผ่านพ้นประสบการณ์ที่คนหัวขาวต้องส่งศพคนหัวดำ ยังมีอะไรที่ปลงตกไม่ได้อีกเล่า เขาเป็นหลานชายนอกตระกูลของข้า ไม่ใช่บุตรหลานสกุลเซิ่งเสียหน่อย เขาอยากจะเป็นเขยแต่งเข้าตัดตอนการสืบทอดทายาทของสกุลเฉิง อีกไม่นานก็มีคนสกุลเฉิงโกรธเกรี้ยวร้อนใจเอง ยายเฒ่าต่างแซ่อย่างข้าจะกังวลไปด้วยเพื่ออันใดกันเล่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งผู้มีเส้นผมขาวโพลนเอ่ยวาจาอย่างใจจืดใจดำขึ้นมาเมื่อไร ล้วนฟังดูเอาแต่ใจและไม่แยแสใครยิ่งกว่าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเสียอีก
หลิ่วจือหว่านกะพริบดวงตากลมโตปริบๆ ทันที ไม่รู้ว่าจะเอ่ยต่อเช่นไรดี
แต่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งกลับเร่งเร้านางว่า “เจ้ารีบกินเร็วเข้า นี่เป็นองุ่นของสวนในจวนเราเอง ได้ยินว่าเป็นองุ่นชะมด* จากนอกด่าน เจ้ารีบชิมดู…”
หลิ่วจือหว่านกัดองุ่นอย่างเงียบๆ น้ำจากองุ่นเติมความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากสีแดงสด ผิวพรรณขาวผ่องปานหิมะ เส้นผมดำขลับ นี่เป็นรูปลักษณ์งดงามหยาดเยิ้มของสตรีวัยสาวสะพรั่ง ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“เด็กสาวที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างกายข้ารูปโฉมงามเลิศล้ำดุจบุปผาเช่นนี้ จะมีบุรุษมาเสนอตัวให้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อีกอย่างญาติผู้พี่เจ้าก็เป็นคนที่เล่ห์เหลี่ยมมากราวกับเม็ดบัว ไม่ใช่คนโง่เขลาที่จะยอมเสียเปรียบอันใด เขาทำเช่นนี้ต่อไปจะได้ตัดขาดความสัมพันธ์จากสกุลเฉิงกับสกุลเถียน เช่นนี้ก็ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยครอบครัวภรรยาอุ้มชู อันที่จริงเมื่อเทียบกับขุนนางที่แต่งงานกับตระกูลใหญ่โตเพื่อเชื่อมสัมพันธ์แล้วกลับเอาตัวรอดได้มากกว่า ไม่ต้องมีตัวถ่วง ส่วนคำหัวเราะเยาะหยันของพวกขุนนางคนอื่นๆ ก็คงยากจะหลีกเลี่ยงได้…ในเมื่อเขาตัดสินใจเลือกเช่นนี้แล้ว ต่อไปก็ต้องเตรียมตัวรับแรงกดดันให้ได้ จะทำให้คนอื่นนับถือได้หรือไม่ก็อยู่ที่ความสามารถของเขาเองแล้ว!”
หลิ่วจือหว่านคิดไม่ถึงว่าท่านย่ากลับปล่อยวางได้มากกว่านางเสียอีก จึงได้แต่กินองุ่นอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งกินองุ่นไปกว่าครึ่งจาน จิตใจก็สงบลง ก่อนจะเม้มปากเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“เขาคิดการเผื่อข้าทุกอย่าง ชั่วชีวิตนี้ของจือหว่านมีแต่ต้องอยู่เคียงข้างเขาเพื่อตอบแทนบุญคุณเขา…ท่านย่าโปรดวางใจ ข้าจะไม่ยอมให้สามีในอนาคตของข้าต้องเป็นที่ขบขันของผู้อื่นแน่นอนเจ้าค่ะ!”
ครั้นฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งได้ยินวาจานี้ ในที่สุดก็ยิ้มบางๆ พลางกอดนางเอาไว้พร้อมเอ่ยว่า “เจ้าเด็กหน้าเหม็นเทียนฟู่นั่น ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยทำให้คนเบาใจสักครา มีแต่เรื่องที่เขาตัดสินใจเลือกเจ้าที่น่าพึงพอใจที่สุด นอกจากเจ้าแล้วไม่ว่าใครก็ไม่มีคุณสมบัติจะมาเป็นหลานสะใภ้ของข้าทั้งสิ้น! ต่อไปสินเดิมของเจ้าข้าจะช่วยออกด้วยส่วนหนึ่ง หวานหว่านของพวกเราก็เป็นคนที่มีครอบครัวเช่นกัน!”
หลิ่วจือหว่านอิงแอบในอ้อมกอดของท่านย่า ในที่สุดก็ยิ้มน้อยๆ ออกมาจากใจจริง สินเดิมทองพันชั่งอันใดนั้นนางไม่เห็นอยู่ในสายตาสักนิด แต่ว่าหัวใจรักของท่านย่าที่มีต่อนาง ต่อให้ทองพันชั่งก็แลกไม่ได้ สำหรับนางแล้วนี่ถึงจะสำคัญที่สุด มีค่ามากที่สุด!
หากเขาอยากแต่งเข้าจะต้องก่อให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นมาทั้งในจวนและนอกจวนแน่นอน แต่ว่าก็เหมือนอย่างที่เขาพูดเอาไว้ นางไม่อาจเห็นแก่คนอื่นมากกว่าเขาได้อีก ถึงแม้ปัญหาในวันข้างหน้าจะใหญ่โตเพียงใด พวกเขาทั้งสองคนก็จะเผชิญหน้าเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน
แต่ว่าในเวลานี้เขากำลังอยู่ที่ด่านเหยียนสุ่ยซึ่งไกลห่างออกไปนับพันหลี่ เรื่องที่โจรร้ายบุกลอบโจมตีก่อนหน้านี้นางต้องแบกรับเอาไว้คนเดียว
ถึงแม้ว่าอยู่สกุลเซิ่งจะดี แต่ว่ามีคนมากเกินไป กลับเป็นการเปิดช่องว่างให้พวกโจรร้ายเสียมากกว่า