หลังสตรีทั้งสามเข้าไปในกระโจมแล้วก็เห็นบุรุษหล่อเหลาองอาจผู้นั้นกับสาวใช้ตัวดำยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ทั้งสองยื่นมือใช้ผ้าเช็ดหน้าอุดปากพวกนางเอาไว้ทันที
ส่วนนายท่านรองสกุลเฉินก็จับพวกนางทั้งสามมัดเอาไว้อย่างรวดเร็วว่องไว
ในยามนี้หลิ่วจือหว่านซึ่งยืนอยู่ในกระโจมเช่นกันก็เดินเข้าไปใกล้ ยื่นมือออกไปจับชีพจรของพวกนาง หลังจากนั้นก็มองดูตามแขนของพวกนาง ครั้นแล้วก็เห็นว่าบนแขนมีผื่นแดงเป็นจุดๆ กระจายไปทั่วเช่นกัน
นางเดาไม่ผิดจริงๆ สตรีสามคนนี้ล้วนติดโรคผื่นหยางเหมยกันถ้วนหน้า!
หลิ่วจือหว่านนับถือผู้บงการเบื้องหลังคนนั้นโดยแท้ ช่างคิดการรัดกุมรอบคอบ แม้แต่ต้นตอการติดโรคของเหล่าทหารที่ด่านเหยียนสุ่ยก็เตรียมการเอาไว้เป็นอย่างดี
หากหญิงคณิกาที่ติดโรคสกปรกสามคันรถใหญ่นี้ไปปักหลักตั้งกระโจมอยู่นอกด่านเหยียนสุ่ย คนส่งจดหมายที่เดินทางไปกลับนำข่าวมาแจ้ง รวมไปถึงชาวบ้านในพื้นที่ต่างก็เห็นอยู่ในสายตา ปากย่อมต่อว่าด่าทอทั้งสิ้น
และขุนนางที่เดินทางมาตรวจตราก็จะถูกภาพแห่งความสำราญเริงรมย์นี้บดบังดวงตาไว้
พอถึงตอนนั้นเมื่อมีพลทหารติดโรคสกปรกอีก ต่อให้แม่ทัพเฉินเสวียนมีปากเต็มทั่วร่างก็แก้ตัวไม่ได้!
เฉิงเทียนฟู่นั่งอยู่ในกระโจม โบกมือบอกให้พวกนางนั่งลง จากนั้นถึงเอาผ้าอุดปากสตรีที่เป็นผู้นำคนนั้นออกแล้วเอ่ยถามด้วยท่าทีสงบราบเรียบว่าเหตุใดพวกนางถึงเดินทางมาที่ด่านเหยียนสุ่ยในช่วงสงครามเช่นนี้
สตรีคนนั้นถูกกริชจ่อคอเอาไว้ เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า “แม้จะเป็นช่วงสงคราม แต่บุรุษก็ต้องหลับนอนกับสตรีเช่นกันมิใช่หรือ…มะ…มีคนให้เงินพวกเรามาแล้วให้พวกเราไปที่นั่น บอกว่าไปที่นั่นแล้วจะได้เงินก้อนโต”
เฉิงเทียนฟู่พยักหน้าเบาๆ เอ่ยถามอีกว่า “คนที่ให้เงินพวกเจ้าคือใคร”
สตรีทั้งสามรีบส่ายหน้า เฉิงเทียนฟู่ล้วงถุงเงินหนักอึ้งหนึ่งถุงออกมาจากในอกเสื้อ บอกพวกนางอีก
“เหมือนอย่างที่พวกเจ้าว่าไว้ ในช่วงสงครามวุ่นวายมิได้หาเงินทองได้ง่ายๆ ข้าจะชี้แนะหนทางที่ทำเงินได้มากกว่าให้พวกเจ้าก็แล้วกัน!”
เมื่อใช้เงินเบิกทางก็พูดคุยกันได้สบายและรวดเร็วขึ้นเป็นพิเศษ
พอแก้มัดแล้วหลิ่วจือหว่านยังควักทองคำแผ่นที่อยู่ในอกเสื้อออกมา ทำลายความหวาดระแวงของพวกนางลงได้อย่างสิ้นเชิง
หลังจากตกลงกับสตรีทั้งสามเสร็จสรรพ เฉิงเทียนฟู่ก็เปิดกระโจมออกมาอีกครั้ง พาคนถือดาบเดินตรงเข้าไปฟันเหล่าชายฉกรรจ์ที่กำลังดื่มสุราอย่างครื้นเครงจนล้มลงไปกองกับพื้น จากนั้นก็ใช้เชือกมัดพวกเขาเอาไว้
ต่อมาเฉิงเทียนฟู่ก็สั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนหนึ่งของตนเองอย่างละเอียด ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะออกเดินทางในชุดลำลอง คุ้มกันสตรีเหล่านั้นย้อนกลับไปข้างหน้า มุ่งตรงไปยังถนนใหญ่ทางขวา
ก่อนหน้านี้หลิ่วจือหว่านได้ยินนายท่านรองสกุลเฉินบอกว่านี่เป็นเส้นทางทะลุไปยังค่ายทหารของต่งฉางกง
นางมองดูหญิงคณิกาคันรถแล้วคันรถเล่าพยายามโบกมือให้เฉิงเทียนฟู่อย่างสุดชีวิตก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองเฉิงเทียนฟู่ซึ่งอยู่ด้านข้าง
“ท่านอุตส่าห์ควักเงินตนเองเช่นนี้ ถ้าแม่ทัพต่งไม่ยอมดื่มด่ำสำราญจะทำอย่างไรเล่า”
เฉิงเทียนฟู่รวบเอวนางเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว เลิกคิ้วเอ่ยว่า “รับของกำนัลจากผู้อื่นมาแต่ไม่สนองกลับนับว่าเสียมารยาท ฉือหนิงอ๋องโอบอ้อมอารีมีเมตตา คิดไตร่ตรองแทนพวกเราทุกขั้นตอนแล้ว แค่ทำตามนั้นไปก็พอ ครั้งนี้ผู้สังเกตการณ์กองทัพเดินทางมาตรวจตราสองที่ คงจะไปที่ค่ายใหญ่ของกองทัพสกุลต่งก่อน ถ้าพวกเราไม่ช่วยเตรียมการแทนแม่ทัพต่งให้เรียบร้อยจะไม่เสียมารยาทแย่หรือ”
หญิงคณิกาที่มีคนเจตนาเรียกมาเหล่านี้จะต้องไปอยู่ประจำตำแหน่งในตอนที่ใต้เท้าผู้สังเกตการณ์กองทัพเดินทางมาตรวจตราค่ายทหารของสกุลต่งอย่างไม่ช้าไม่เร็วภายใต้การตระเตรียมของเขาอย่างแน่นอน
แล้วเหตุใดเฉิงเทียนฟู่ถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่ปืนไฟที่กองทัพกบฏได้รับมาเหล่านั้น
แม้ปืนไฟจะมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ก็ต้องคอยเติมดินระเบิด หากไม่รู้ว่าปืนไฟมีที่มาที่ไปเช่นไรย่อมทำให้คนไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมือจากตรงที่ใดเป็นธรรมดา
แต่ในเมื่อเฉิงเทียนฟู่รู้เบาะแสอย่างสำนักซานชิงแล้ว เช่นนั้นก็สามารถไล่สืบสาวย้อนไปเรื่อยๆ ได้ กำจัดเสบียงเสริมที่สำนักซานชิงลอบลำเลียงมาให้สิ้นซากในคราวเดียว พอถึงเวลานั้นถึงแม้ปืนไฟจะร้ายกาจเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์โดยสิ้นเชิง
ครั้งนี้เขาเดินทางไปก่อการใหญ่ที่สำนักซานชิงพอดี เพิ่งจะรีบกลับมาจากท่าเรือของที่นั่น ระหว่างทางก็บังเอิญพบกับพวกหลิ่วจือหว่านเข้า
คราวนี้หลิ่วจือหว่านตัดสินใจไม่นั่งรถม้าแล้ว แต่ว่าขี่อาชาตัวเดียวกับเฉิงเทียนฟู่แทน จะได้รีบห้อตะบึงเร่งเดินทางไปยังด่านเหยียนสุ่ยให้เร็วขึ้นหน่อย
ยาที่มีปัญหาเหล่านั้นถูกส่งไปถึงด่านเหยียนสุ่ยนานแล้ว เกรงว่าคงจะมีคนเคราะห์ร้ายไปแล้ว