ซ่อนกลิ่น
ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 51.1-51.3
บทที่ 51-3 กอบกู้สถานการณ์แนวหน้า
เมื่อมาถึงด่านเหยียนสุ่ย เฉิงเทียนฟู่ก็ใช้ผ้าคลุมกันลมคลุมร่างหลิ่วจือหว่านอย่างมิดชิดแล้วค่อยพานางไปพบแม่ทัพเฉินเสวียน
เมื่อพวกเขาไปถึง ในกระโจมแม่ทัพเต็มไปด้วยหมอทหารที่คุกเข่าลงกับพื้น ท่าทางคล้ายกำลังถูกแม่ทัพเฉินเสวียนสั่งสอนอยู่ แต่ละคนล้วนมีท่าทางกล้ำกลืนจนปัญญา
ญาติผู้พี่สกุลจางก็นั่งรวมกลุ่มอยู่ในแถวเช่นนั้น ทั้งยังถูกลากมาตรงแถวหน้าสุดอีกด้วย
ที่แท้เมื่อหลายวันก่อนหลังจากประจัญบานกับกองทัพกบฏ จู่ๆ ทหารหลายนายก็มีผื่นขึ้นที่ผิวหนัง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนที่อาการรุนแรง ผู้ที่ร่างกายอ่อนแอก็มีไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลด
หลังจากหมอทหารหลายคนในกองทัพมาดูอาการให้ก็ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือผื่นหยางเหมย ดังนั้นจึงสั่งยาให้แก่พลทหารที่ล้มป่วย
บุรุษอกสามศอกในกองทัพเหตุใดถึงติดโรคสกปรกพรรค์นี้ได้ ทันใดนั้นก็ชวนให้คนตั้งข้อสงสัยว่าพวกเขาออกไปเที่ยวหญิงคณิกามา แม่ทัพเฉินเสวียนจึงจับพลทหารหลายนายที่ติดโรคมาสอบสวนทันที
สุดท้ายแม้พวกเขาจะถูกโบยตามกฎระเบียบของกองทัพ แต่ก็ยังยืนกรานว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ ตัวอยู่ที่ชายแดน แม้แต่เงาสตรีสักคนก็ยังไม่เห็น แล้วจะไปติดโรคสกปรกเช่นนี้ได้อย่างไร
กลายเป็นว่าตอนที่พลทหารนายหนึ่งกำลังถูกโบยกลับมีอาการชัก หากมิใช่เพราะหมอชรามือเร็วตาไวใช้ไม้กดลิ้นง้างปากเขา ตอนนั้นเขาก็คงกัดลิ้นขาดใจตายจนเสียชีวิตเพราะอาการชักไปแล้ว
ต่อมาภายหลังพลทหารที่กินยาเข้าไปก็ปรากฏอาการหมดสติ แม่ทัพเฉินเสวียนทำได้เพียงจับตัวหมอที่สั่งยาเหล่านี้มาสอบปากคำ
ใต้เท้าผู้สังเกตการณ์กองทัพจวนจะเดินทางมาถึงแล้ว แต่ในค่ายทหารกลับมีพลทหารติดโรคผื่นหยางเหมยเกือบร้อยนาย มิหนำซ้ำแต่ละนายยังลมหายใจรวยริน ทหารนายอื่นๆ ที่ไม่ได้ติดโรคล้วนหลีกเลี่ยงอยู่ห่างๆ จุดตั้งค่ายที่ใช้รองรับผู้ป่วย แต่ละคนต่างหวาดระแวงกันและกัน คาดเดาไปต่างๆ นานาว่าใครเป็นคนนำโรคที่น่าอับอายเข้ามาแพร่ในค่ายทหาร
แม่ทัพเฉินเสวียนเริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมาแล้ว หากไร้ซึ่งขวัญกำลังใจของกองทัพแล้วการศึกต่อจากนี้จะสู้รบอย่างไรเล่า!
ขณะที่แม่ทัพเฉินเสวียนกำลังระเบิดโทสะอย่างเดือดดาลอยู่นั้นเฉิงเทียนฟู่ก็เข้ามาในกระโจม เขาไม่มีเวลาอธิบายมากนัก บอกเพียงว่าเชิญหมอเลื่องชื่อมาผู้หนึ่ง รู้ว่าที่ด่านเหยียนสุ่ยมีทหารเจ็บไข้ได้ป่วย ดังนั้นจึงเดินทางมาช่วยตรวจรักษาโดยเฉพาะ
แม่ทัพเฉินเสวียนงงงันอยู่บ้าง เฉิงเทียนฟู่จึงเชิญเขาไปอีกด้านหนึ่งแล้วกระซิบบอกเสียงเบาอีกครา แม่ทัพเฉินเสวียนอายุใกล้ล่วงหกสิบปีแล้ว นับว่าเคยพบเจอคลื่นลมมามากมาย แต่เมื่อได้ยินต้นสายปลายเหตุของแผนการร้ายเบื้องหลังที่เฉิงเทียนฟู่เล่าให้ฟังก็โกรธแค้นเสียจนชักกระบี่ออกมาฟันโต๊ะเขียนหนังสือตรงหน้าจนแยกออกจากกัน
“คนบัดซบเช่นนี้อันตรายยิ่งกว่าโจรกบฏเสียอีก!”
เพียงแต่เฉิงเทียนฟู่เองก็สงสัยอยู่เล็กน้อย “รัชทายาทอยู่ที่เมืองหลวงได้ส่งจดหมายนกพิราบถึงท่านแม่ทัพแล้ว เหตุใดท่านแม่ทัพจึงไม่เตรียมการป้องกันใดๆ เล่า”
แม่ทัพเฉินเสวียนขมวดคิ้วพูดว่า “เจ้าออกไปนานเกินไปจึงไม่รู้สถานการณ์ที่ด่านในตอนนี้ ในช่วงหลายวันมานี้ปืนใหญ่ระดมยิงติดต่อกันหลายวัน เสียงปืนใหญ่ที่ดังสะเทือนฟ้าทำให้แม้แต่นกกระจอกแถวนี้ก็ยังไม่สามารถบินลงได้ ต่อให้มีนกพิราบสื่อสารก็ไม่รู้ว่าบินไปที่ใดแล้ว จึงมิได้รับจดหมายเป็นธรรมดา”
ในเมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วก็มีแต่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น เฉิงเทียนฟู่จึงเล่าเรื่องที่หลูอีเซี่ยนจู่รีบเดินทางมาช่วยรักษาให้เขาฟัง
เมื่อได้ยินว่าหลูอีเซี่ยนจู่มาที่นี่ แม่ทัพเฉินเสวียนก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก แม่นางคนหนึ่งเข้าออกค่ายทหารมิเพียงแต่จะทำให้ชื่อเสียงเกียรติยศของนางเสื่อมเสีย สำหรับกองทัพปกป้องด่านเหยียนสุ่ยแล้วก็กระทบต่อศักดิ์ศรีของกองทัพเช่นเดียวกัน…
ทว่าในตอนนี้เองหลิ่วจือหว่านซึ่งใช้ผ้าคลุมกันลมปกปิดใบหน้าก็ได้เดินเข้ามาทำความเคารพแม่ทัพเฉินเสวียนแล้ว จากนั้นก็เอ่ยขึ้น
“ท่านแม่ทัพ ถ้าข้าคาดการณ์ไม่ผิดพลทหารที่ดื่มน้ำแกงยาเข้าไปเหล่านั้นชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย ท่านแม่ทัพโปรดอนุญาตให้ข้าถอนพิษให้พวกเขาก่อนเถิด ส่วนเรื่องราวจริงเท็จประการใดเอาไว้ตรวจสอบกันทีหลัง”
แม่ทัพเฉินเสวียนถอนหายใจออกมาในที่สุด “ตายไปสามคนแล้ว…”
เขาเองก็รู้ว่าสถานการณ์คับขัน ถึงแม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในฝีมือการรักษาของแม่นางน้อยผู้นี้ แต่ก็ทำได้แค่รักษาม้าตายเยี่ยงม้าเป็นแล้ว อันดับแรกเขาสั่งให้คนไปแจ้งทั้งกองทัพ เรียกถุงใส่ยาพกติดกายทั้งหมดกลับคืนมา จากนั้นก็จัดเตรียมหมอทหารจำนวนหนึ่งให้ตามหลิ่วจือหว่านเข้าไปในกระโจมรักษา
หลิ่วจือหว่านยังคงใช้ผ้าคลุมกันลมปิดบังใบหน้าเอาไว้แล้วเดินตามแม่ทัพเฉินเสวียนมาที่กระโจมรักษา
เพราะว่ากลัวโรคจะแพร่กระจาย กระโจมรักษาจึงถูกย้ายไปไว้ตรงหัวมุมทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของค่าย อยู่ห่างไกลจากกระโจมทหารหลังอื่นๆ หลังจากหลิ่วจือหว่านเดินเข้าไปในกระโจมแล้วก็เริ่มตรวจดูอาการคนเหล่านี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกกรอกน้ำแกงยาให้ดื่มไปหลายครั้ง อาการจึงร้ายแรงยิ่งกว่าท่านลุงมาก
เนื่องจากพวกเขาดื่มน้ำแกงยามากเกินไป หลิ่วจือหว่านจึงรีบสั่งให้คนหยิบผงอี๋จื่อ* มาทันที หลังจากละลายน้ำแล้วก็กรอกผ่านไส้แกะลงไป กระตุ้นให้คนป่วยเหล่านี้อาเจียนออกมา
ญาติผู้พี่จางซีเหวินที่เพิ่งถูกโบยมาเอามือกุมก้นพร้อมกับเดินเข้ามาช่วยเหลือหลิ่วจือหว่าน ละลายผงอี๋จื่อไปพลางเอ่ยถามเสียงสั่นเครือไปพลาง
“เมื่อครู่แม่ทัพเฉิงพาคนมาริบขี้ผึ้งมรกตกำเนิดผิวทั้งหมดไป…ยาที่ข้าปรุงขึ้นมีปัญหาจริงๆ หรือ”
หลิ่วจือหว่านสั่งให้จิ้นเป่ายกร่างคนป่วยขึ้นมา ด้านหนึ่งทุบหลังกระตุ้นให้คนป่วยอาเจียน อีกด้านหนึ่งก็พูดกับญาติผู้พี่
“ท่านอย่าเพิ่งถาม ตอนนี้การช่วยคนสำคัญที่สุด อีกไม่กี่วันใต้เท้าผู้สังเกตการณ์กองทัพก็จะมาตรวจตราค่ายทหารแล้ว ด่านเหยียนสุ่ยจะมีคนตายอีกไม่ได้!”