บทที่ 1
ตำบลหลิงเฉวียนเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในการผลิตเครื่องเคลือบดินเผาแห่งราชวงศ์ต้าเยี่ยน ทุกๆ วันต่างมีพ่อค้าจากทั่วทุกสารทิศนำสินค้าเข้ามาไม่เคยขาด
ราคาที่ดินในท้องที่ก็สูงมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่ายังคงไม่อาจหยุดยั้งคนต่างถิ่นให้เลิกเข้ามาพำนักอยู่ที่นี่ได้
นี่มิใช่ว่าในช่วงฤดูใบไม้ผลิเดือนสองที่ต้นหญ้าโบกไหว นกโผบิน บนถนนหินทางเหนือของตำบลหลิงเฉวียนก็มีรถม้ามาเยือนอีกแล้วหรอกหรือ
บรรดาหญิงออกเรือนที่จับกลุ่มทำงานเย็บปักกันอยู่บนถนนพากันชะเง้อชะแง้คอมอง ใคร่รู้ว่าบ้านหลังคามุงกระเบื้องที่ว่างเว้นมานานหลังนี้มีครอบครัวเช่นไรย้ายเข้ามาอยู่
รถม้าคันนั้นหยุดลงหน้าประตูบ้านที่ออกจะเก่าไปบ้าง บ่าวหญิงวัยกลางคนหน้าดำคล้ำรูปร่างผอมผู้หนึ่งยกเก้าอี้ทรงดอกเหมยตัวเล็กลงมาจากด้านหลังรถม้า จากนั้นยื่นมือไปช่วยประคองหญิงสาวอายุราวสิบแปดปีในชุดผ้าแพรสีเทาอ่อนผู้หนึ่งออกมาจากม่านรถม้า
ไม่รู้เหตุใดหญิงสาวผู้นั้นจึงถือไม้เท้าไม้ไผ่ที่ใช้สำหรับปีนเขาเอาไว้ด้วย ค่อยๆ ก้าวลงจากรถม้าภายใต้ความช่วยเหลือจากบ่าวหญิงวัยกลางคน
เมื่อหญิงสาวผู้นั้นลงมาจากรถม้าก็กวาดตามองไปรอบๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้คนได้เห็นคิ้วโก่งดั่งภูผาไกลของนางอย่างชัดเจน
ทันทีที่ได้เห็นก็ชวนให้คนแอบร้องในใจว่า มารดาเอ๋ย! นึกไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีหญิงสาวที่งามผุดผาดดั่งภาพวาดเช่นนี้อยู่ด้วย!
ตำบลหลิงเฉวียนตั้งอยู่ที่เจียงหนาน* เป็นสถานที่สรรค์สร้างหญิงงามมานับแต่โบราณ แต่ความงามของหญิงสาวผู้นี้กลับไม่งามยวนตาดั่งทิวทัศน์ของเจียงหนาน กลับมีเอวคอดกิ่ว ขายาว หุ่นสะโอดสะอง โดยเฉพาะจอนผมสีดำขลับที่ขับเน้นนัยน์ตาให้งามพิศยิ่งขึ้น
เพียงแต่ดูจากทรงผมที่เกล้าขึ้นเช่นนี้ นางน่าจะแต่งงานแล้ว
หญิงงามนั้นงามอยู่ ทว่าเห็นแล้วไม่ชวนให้รู้สึกน่าคบหา รู้สึกว่าความงามจับตาเพียงนี้ควรจะเลี้ยงดูอยู่แต่ในวังลึก ตำหนักหยกหลังคาทองคำจึงจะถูก เหตุใดจึงระหกระเหินมาอยู่ในตำบลเช่นนี้ได้เล่า
ป้าอิ่นที่ชะเง้อหน้ามองอยู่ครึ่งวัน หลังเห็นหญิงสาวผู้นั้นเดินนำบ่าวหญิงสองคนกับคนบังคับรถเข้าไปในบ้านก็ยังไม่เลิกสนใจ กระซิบกระซาบกับบรรดาหญิงออกเรือนที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างอดไม่ได้ “มารดาเถอะ อยู่มานานเพียงนี้กลับเพิ่งเคยเห็นคนงามปานนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าสามีของนางทำมาหากินอันใดถึงมีความสามารถแต่งกับหญิงงามเยี่ยงนี้ได้!”
ภรรยาของบ้านสกุลจางเอ่ยต่ออย่างไม่ยี่หระ “จะทำอันใดได้เล่า! คนต่างถิ่นที่มาซื้อบ้านที่นี่ เก้าในสิบส่วนล้วนเป็นพ่อค้าขายเครื่องเคลือบดินเผา ช่างฝีมือทั่วไปซื้อบ้านบนถนนสายนี้ไม่ได้หรอกนะ”
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้บางคนที่หัวสมองฉับไวก็หรี่ตาลงพูดโพล่งออกมาทันที “ถ้าสามีผู้นั้นเป็นพ่อค้าก็ต้องเป็นพวกสายตาสั้น พอหาเงินได้แล้วกลับไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถึงได้กล้าแต่งภรรยาที่งามเพียงนี้ ถ้าเกิดออกไปทำมาค้าขายข้างนอกอยู่บ่อยๆ ทิ้งภรรยาคนงามไว้ที่บ้านตามลำพัง กำแพงเตี้ยประตูต่ำเช่นนี้ จะ…จะป้องกันได้อย่างไร!”
ประโยคนี้ของนางมีที่มาที่ไป บริเวณถนนสายเหนือของตำบลหลิงเฉวียนมีครอบครัวพ่อค้าอยู่มากมายนัก ส่วนมากบรรดาบุรุษมักจะออกเดินทางไกลไปค้าขายทั่วเหนือจรดใต้ ซ้ำบรรดาพ่อค้าเหล่านั้นยังชอบแต่งหญิงนางโลมเป็นอนุ ส่วนใหญ่ที่พามาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ด้วยล้วนไม่ใช่ภรรยาเอก
ในแต่ละครอบครัวมีบ้างที่หลังสตรีแต่งงานแล้วทนความเหงาเปล่าเปลี่ยวไม่ไหว เปลี่ยนใจให้บุรุษอื่น
ดังนั้นเวลาพวกหลายใจถูกใจใครเข้า เรื่องอย่างตอนกลางคืนเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ แอบนัดพบกับชายเสเพลในท้องที่จึงเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ
เรื่องราวที่ซ่อนเร้นอยู่ในยามค่ำคืนเหล่านี้ ยากจะหนีพ้นจากสายตาของบรรดาหญิงออกเรือนที่ชอบเกาะกลุ่มนินทาในตรอกซอกซอยเหล่านี้ เวลามารวมตัวอยู่ด้วยกันตอนกลางวันช่วงทำงานเย็บปักก็จะพากันพูดคุยเรื่องจริงเรื่องเท็จ ชีวิตประจำวันจุกจิก ความสัมพันธ์กรุ้มกริ่มของเพื่อนบ้านข้างๆ ตนเอง
พอเวลาผ่านไปนานเข้าสายตาของบรรดาหญิงออกเรือนยิ่งเฉียบคม ดูคนแม่นยำเหลือเกิน!
และหญิงออกเรือนคนงามที่เพิ่งมาใหม่วันนี้ ไม่รู้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ดูจากสภาพแล้วน่าจะเป็นตัวปัญหาที่ดึงดูดบุรุษเช่นกัน เหลือแค่รอดูว่าชายเสเพลคนใดของตำบลหลิงเฉวียนจะสามารถเปิดประตูหลังของบ้านหลังคามุงกระเบื้องบนถนนสายเหนือหลังนี้ได้…
ณ ช่วงเวลาหนึ่งบรรดาหญิงออกเรือนท้องถิ่นเหล่านี้เริ่มพากันเกาะกลุ่มนินทา ประณามสมาชิกในครอบครัวของพ่อค้าต่างถิ่นที่จะมาทำให้ถนนสายเหนือเสียชื่อ ทั้งยังพากันยกยอบุรุษบ้านตนเอง ดีใจที่บุรุษของตนตามีแวว แต่งกับภรรยามีคุณธรรมอย่างตน ในช่วงเวลานั้นทุกคนต่างสนทนาพาทีกันอย่างครื้นเครง