ตอนนี้หลิ่วเหมียนถังหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งยื่นให้เขาอย่างไม่ลังเล “ได้ยินหลี่มามาบอกว่าท่านเพิ่งซื้อร้านค้าแห่งหนึ่งในตำบล บุกเบิกกิจการใหม่ คาดว่าในไม่ช้าจะสำเร็จรุ่งเรือง สินเจ้าสาวของข้ามีไม่มาก พวกนี้ถือว่าข้าร่วมหุ้นด้วย เมื่อร้านเปิดข้าเองก็สามารถแบ่งกำไรบางส่วนกับท่านพี่ได้”
นางเอ่ยเช่นนี้นับเป็นการไว้หน้าชุยจิ่ว ก็คงดีกว่าพูดตรงๆ ว่า ‘ท่านพี่ ทุกวันนี้ท่านใช้เงินไปกับการจ่ายหนี้สินจนหมด ข้ากลัวท่านจะไม่มีเงินทุนเลยจ่ายโปะให้ท่านด้วย’
ชุยจิ่วคล้ายคาดไม่ถึงว่านางจะทำเช่นนี้ เพียงมองนางอยู่สักพัก เขาไม่ได้รับมา เพียงเอ่ยถามว่า “เจ้าไม่กลัวว่าการค้าจะขาดทุน แล้วเจ้าจะไม่ได้สินเจ้าสาวกลับมาหรือ”
หลิ่วเหมียนถังเห็นเขาไม่รับจึงวางตั๋วเงินลงบนโต๊ะพลางยิ้มเอ่ย “ทำการค้าย่อมมีกำไรและขาดทุน เงินทั้งหมดในใต้หล้าจะตกอยู่ในมือคนผู้เดียวได้อย่างไรเล่า ท่านเอาไปใช้ย่อมดีกว่าข้าหลับหูหลับตาใช้อยู่แล้ว” พูดจบก็มองเขาด้วยสีหน้าคาดหวังว่าเขาจะรับไว้
เดิมหลิ่วเหมียนถังก็งดงาม แต่หากหญิงงามไร้ชีวิตชีวาก็เป็นเพียงหยกแกะสลักชิ้นหนึ่งที่ปราศจากจิตวิญญาณ ทว่าเมื่อนางยิ้มน้อยๆ บรรยากาศเหินห่างไม่น่าเข้าใกล้ดั่งภูเขาหิมะที่มีอยู่เดิมจะสลายหายวับไปกับรอยยิ้มสดใสดั่งบุปผาในทันที บนแก้มขาวนวลสองข้างมีลักยิ้มจางๆ ดูแล้วอ่อนหวานยิ่ง พาให้บรรยากาศคล้ายแม่นางน้อยใสซื่อบริสุทธิ์ออกมา
ชุยจิ่วหรี่ตามองอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ยื่นมือไปหยิบตั๋วเงินมาพร้อมเอ่ย “เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะเก็บไว้แทนเจ้าก่อน…แต่เจ้าก็ยังต้องออกไปเดินเล่นในตำบลอยู่ดี ข้าสั่งจองผ้าสำหรับตัดชุดจำนวนหนึ่งไว้ให้เจ้าที่ร้านผ้า เจ้าลองไปดู หากไม่ถูกใจก็เปลี่ยนเป็นแบบที่ชอบเสีย…”
ในเมื่อเป็นความเอาใจใส่ของสามี หลิ่วเหมียนถังจึงไม่อาจปฏิเสธอีก ผงกศีรษะรับปากแทน
ตอนนั้นเองหลี่มามาเข้ามาถามว่านายท่านจะกินอาหารหรือไม่ หลังได้ยินคำตอบให้จัดโต๊ะจึงถือถาดไม้เคลือบยกอาหารเข้ามาวาง
อาหารในวันนี้ล้วนมีกลิ่นอายของเจียงหนาน รากบัวยัดไส้เนื้อผัดที่มีสีเหลืองกรอบ และ ‘ไก่ขอทาน’* ซึ่งแผ่กลิ่นใบบัวใสกระจ่าง แล้วยังมีน้ำแกงเต้าหู้ข้างบนโรยไข่ปู รสชาติเอร็ดอร่อยมิสามัญ
บางทีอาจเพราะนายท่านกลับมาบ้าน วันนี้หลี่มามาที่ปกติทำอาหารลวกๆ จึงตั้งใจเป็นพิเศษ
ตลอดทางที่หลิ่วเหมียนถังเดินทางมาได้กินแต่ข้าวต้มกับผักเป็นหลัก ตอนที่ไม่เห็นเนื้อก็ยังดี แต่พอได้เห็นถึงรู้สึกตัวว่าตนเองกระหายเนื้อสัตว์แล้วจริงๆ จึงตั้งอกตั้งใจกินอย่างมาก
หลังเนื้อรสอร่อยตกถึงท้อง นอกจากช่วยแก้กระหายทางลิ้น นางยังรู้สึกตัวว่าเมื่อครู่นี้ตอนตนกินข้าวเหมือนจะเสียมารยาทไป ดังนั้นจึงยกถ้วยเล็กไปตักน้ำแกงเต้าหู้มา เก็บมารยาทที่ฝึกฝนก่อนออกเรือนกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ก่อนยื่นถ้วยเสมอคิ้วให้สามีทันที
นางจะลืมตัวเกินไปแล้ว สมัยก่อนตอนอยู่บ้านเดิมก็เคยโดนบิดาตำหนิเพราะกินข้าวไม่เรียบร้อย นับจากนั้นมาทุกครั้งเวลากินข้าวต่อหน้าผู้อื่นนางก็จะสงบเสงี่ยมลงเจ็ดส่วน
และตอนนี้การที่นางเอาแต่สนใจตนเองก็นับว่าไม่สมควรจริงๆ ทุกวันนี้เงินในครอบครัวร่อยหรอ ช่วงเวลามีกับข้าวเต็มโต๊ะเช่นนี้จะพบเห็นได้ไม่มากแล้ว สามียุ่งกับการทำการค้าทุกวัน ต้องการการบำรุง ตนเองอยู่บ้านว่างๆ จะกินมากได้อย่างไร
คิดถึงตรงนี้นางจึงรีบเก็บตะเกียบ เอาแต่กินคำเล็กๆ คู่กับข้าวเท่านั้น
ชุยจิ่วกินไม่มาก แค่ยื่นมือออกไปคีบกับข้าวเป็นบางครั้ง เวลาส่วนใหญ่ล้วนมองดูหลิ่วเหมียนถังที่อยู่ตรงหน้ากินอย่างตะกละตะกลาม
เวลาหญิงงามกินอาหารจะพิถีพิถันที่ท่วงท่าสง่างาม อย่างเช่นเคี้ยวไม่เห็นฟัน ดื่มน้ำแกงไม่มีเสียง น่าเสียดายภรรยาผู้นี้ของเขาเรื่องความงามนั้นก็งามอยู่ ทว่ายามกินกลับเบิกตากว้าง แก้มพองป่อง มีสมาธิผิดปกติ
เพียงแต่ท่าทางตั้งใจกินเต็มที่เช่นนั้นกลับไม่ชวนให้คนรู้สึกดูถูก ซ้ำยังชักจูงให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้นแทน
โดยไม่ทันระวังเขาที่เดิมทีไม่คิดจะกินเยอะกลับกินเพิ่มขึ้นตามไปหลายคำ เพียงแต่ตอนหลังอาจเพราะนางอิ่มแล้วจึงไม่เห็นนางรีบขยับตะเกียบคีบอีก
ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกัน ซ้ำความคิดยังไม่ได้อยู่ที่การกินอาหารทั้งคู่ บรรยากาศจึงดูเย็นเยือกเงียบงันไปบ้าง
รอหลังกินอาหารเสร็จชุยจิ่วดื่มชาล้างปากเรียบร้อยก็เอ่ยกับนางว่า “ที่ท่าเรือมีสินค้าชุดหนึ่งเข้ามาใหม่ ข้าจำเป็นต้องไปตรวจดู คงไม่กลับบ้านในคืนนี้ เจ้าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ประเดี๋ยวก็พักผ่อนเลยเถอะ”
เดิมทีหลิ่วเหมียนถังรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องที่คืนนี้ทั้งสองคนจะได้นอนด้วยกันหรือไม่ เมื่อได้ยินชุยจิ่วกล่าวเช่นนี้ก็พลันโล่งอกขึ้นมายกใหญ่ น้ำเสียงฟังดูสบายใจขึ้น “แม้จะอยู่เจียงหนาน แต่ตอนกลางคืนอากาศก็หนาวเช่นกัน ท่านพี่จะต้องแต่งตัวหนาๆ หน่อยนะเจ้าคะ…”
พูดจบนางก็หยิบเสื้อนวมที่ตนเองนั่งเย็บตลอดหลายวันมานี้ยื่นให้สามี