ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 13-บทที่ 15
หากภรรยายังอยู่เขาจะต้องตอบรับราคาสูงที่จ้าวเฉวียนเสนอมาแน่นอน สร้างชื่อเสียงขจรไกลให้ภรรยารักหมดสิ้นความลำบาก
แต่ภรรยารักป่วยตายไปแล้ว ไม่มีใครแบ่งปันความสุขเมื่อประสบความสำเร็จของเขาอีก จะต้องการชื่อเสียงพวกนั้นไปไย บ้านหลังใหญ่งดงามก็สู้กระท่อมฟางที่ภรรยารักซ่อมแซมขึ้นมาทีละเล็กละน้อยนี้ไม่ได้ นอกจากอยู่ที่นี่แล้วเขาก็ไม่เต็มใจจะไปที่ใดทั้งนั้น
ไม่สู้เขาออกแรงกำลังอันน้อยนิดช่วยเหลือหญิงออกเรือนอายุน้อยที่มีใจช่วยเหลือสามี แบกรับภาระครอบครัวเช่นเดียวกันดีกว่า
หลังหลิ่วเหมียนถังพูดคุยตกลงกับเฮิ่นปี่จวีซื่อเรียบร้อย ด้วยกลัวว่าจ้าวเฉวียนจะสร้างปัญหา นางจึงจ่ายเงินมัดจำไปก่อนหนึ่งตำลึง
บัณฑิตผู้นี้เดิมสกุลเฉิน ชื่อตัวเดียวว่า ‘สือ’ แม้ท่านเฉินจะไม่ได้เรียกร้องราคาแพง แต่หลิ่วเหมียนถังก็ไม่อยากเอาเปรียบเขา จึงตกลงไว้เรียบร้อยว่าหากภาพวาดอันประณีตช่วยให้กิจการร้านนางดีขึ้นได้ นางจะเพิ่มเงินให้เขามากขึ้นอีก
หลิ่วเหมียนถังรู้สึกว่าขอเพียงเส้นทางการค้าเป็นไปด้วยดี วันหน้าค่าตอบแทนที่นางมอบให้ท่านเฉินจะไม่ใช่แค่ร้อยตำลึงอย่างแน่นอน
น่าสงสารจ้าวเฉวียนที่มาอย่างตื่นเต้น แต่ต้องกลับไปอย่างหดหู่ ตอนที่สะบัดแขนเสื้อเดินขึ้นรถม้า เขาไม่ชายตามองหลิ่วเหมียนถังเลยสักครั้ง คิดว่าคงหงุดหงิดเข้าให้แล้ว จึงแค่เลียนแบบหลิ่วเหมียนถังด้วยการเรียกบ่าวรับใช้ตนเองมาส่งต่อข้อความแทนเขา “เจ้าไปบอกแม่นางหลิ่วว่านางทำตัวเช่นนี้จะน่าหงุดหงิดเกินไปแล้วจริงๆ ข้าไม่มีทางยกโทษให้นางแน่!”
พูดจบท่านโหวก็เดินเข้าไปในรถม้าอย่างโมโห
เช่นนี้ก็ดีเลย หลิ่วเหมียนถังไม่ได้กลัวจะแตกหักกับท่านหมอเทวดาจ้าวเสียหน่อย ถึงอย่างไรสามีก็ไม่ให้นางคุยกับจ้าวเฉวียน นางไม่แยแสสักนิด เพียงแค่เดินทางกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี
ตามหาจิตรกรฝีมือดีพบ มีสมบัติประจำร้านที่จะสร้างชื่อเสียง ร้านเครื่องเคลือบดินเผาของนางก็ไม่ต้องกลืนหายไปท่ามกลางร้านธรรมดาทั่วไปแล้ว!
ถึงเวลานั้นช่วงที่สามีตั้งใจศึกษาศาสตร์การเดินหมากล้อมก็จะมีบ่าวรับใช้ให้เรียกใช้ พวกหลี่มามาเองทำงานจนเกษียณแล้วอยู่ในบ้านสกุลชุยต่อ
ความปรารถนาของหลิ่วเหมียนถังไม่นับว่าสูงส่ง เพียงอยากอยู่เฝ้าบ้านตนเอง ใช้ชีวิตแต่ละวันให้ผ่านไปดีๆ เท่านั้น
วันรุ่งขึ้นหลิ่วเหมียนถังไปเลือกโรงเตาเผาที่เนื้อเครื่องเคลือบดินเผาค่อนข้างเนียนละเอียดจากในบรรดาโรงเตาเผาที่ผลิตสินค้าหลายโรง ให้พวกเขาส่งเครื่องเคลือบดินเผาสีขาวสะอาดชุดหนึ่งมาให้ท่านเฉินใช้วาด
แต่หลิ่วเหมียนถังที่เตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพ มุ่งมั่นจะทำการใหญ่สักครั้งกลับถูกลูกจ้างโรงเตาเผาที่มาส่งจานเคลือบสีขาวสาดน้ำเย็นเข้าใส่เต็มๆ
เมื่อลูกจ้างผู้นั้นได้ยินว่าจานเหล่านี้จะนำไปให้ท่านเฉินวาดภาพ จึงเอ่ยเตือนชุยฮูหยินผู้ไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนทำเครื่องเคลือบดินเผาอย่างปรารถนาดี
“ชุยฮูหยิน การวาดภาพลงบนจานไม่เหมือนกับวาดลงกระดาษที่สามารถวาดได้ดั่งใจอยาก เพราะเนื้อเครื่องเคลือบดินเผาลื่นเกินไป ลายบุปผาขนาดเท่าเมล็ดถั่วยังต้องจุ่มสีซ้ำห้าหกครั้ง สีเหล่านั้นเองก็ไม่ได้แห้งซึมลงได้ทันทีเหมือนบนกระดาษ กว่าจะแห้งต้องใช้เวลานานกว่าบนกระดาษมากนัก…มิหนำซ้ำหลังลงลายเส้นแล้วยังต้องเข้าเตาเผาก่อนถึงค่อยลงสีต่อได้ เสียเวลาอย่างยิ่ง ต่อให้ท่านวาดเสร็จแล้ว หากระหว่างนั้นควบคุมความร้อนของเตาเผาไม่ดี เครื่องเคลือบดินเผาก็อาจจะร้าวแตกได้…”
พูดมาถึงตรงนี้ลูกจ้างโรงเตาเผาผู้นั้นก็ส่ายหน้าพลางกล่าว “หากฮูหยินไม่เชื่อสามารถสืบข่าวดูได้ ทั่วทั้งตำบลมีร้านเครื่องเคลือบดินเผาวาดมืออยู่ร้านเดียวคือร้านเก่าแก่สกุลเฮ่อที่สืบทอดฝีมือมาแต่บรรพบุรุษ ทว่าร้านนั้นส่งของไปให้เชื้อพระวงศ์! ปณิธานของท่านนับว่ายิ่งใหญ่ เพียงแต่จะเกินจริงไปแล้ว!”
ลูกจ้างพูดจบก็ส่ายหน้าแล้วกลับไปทำงานที่โรงเตาเผาต่อ
บัดนี้หลิ่วเหมียนถังนับว่าเข้าใจว่าอะไรเรียกอยู่คนละแวดวงดั่งอยู่ภูเขาคนละลูก
เดิมนางคิดอาศัยฝีพู่กันชั้นยอดของท่านเฉินวาดลงบนจาน จะได้กระตุ้นกิจการครอบครัว ทำให้ร้านค้าขายดิบขายดีขึ้นมาได้ ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าตนเองคิดตื้นเขินเกินไปแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้นางก็หันกลับไปเอ่ยกับท่านเฉินที่อยู่ด้านข้างมาโดยตลอด “ท่านเฉิน ท่านเองก็ได้ยินแล้ว ต้องขออภัยด้วยจริงๆ หากไม่ใช่รับปากข้า ท่านก็สามารถรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงจากท่านจ้าวได้…ในเมื่อการวาดลงบนจานดินเผาเคลือบนั้นเป็นไปไม่ได้ ประเดี๋ยวข้าจะไปขออภัยท่านจ้าวด้วยตนเอง ให้เขาซื้อภาพวาดของท่านตามเดิม…หากเขาไม่ซื้อ…ข้าก็จะมอบเงินก้อนหนึ่งเป็นค่าชดเชยให้ท่าน เพียงแต่จำนวนนั้นคง…ไม่อาจเทียบกับท่านจ้าวได้…”
ท่านเฉินกำลังนั่งกินอาหารกลางวันที่หลี่มามานำมาให้หลิ่วเหมียนถังอยู่ที่โต๊ะ ช่วงนี้หลี่มามาอารมณ์ดี มักจะทำเนื้อให้หลิ่วเหมียนถังกินเสมอ วันนี้ที่ทำมาคือหมูสามชั้นตุ๋นที่ตุ๋นจนเนื้อเปื่อยนุ่มเป็นสีแดงวาววับ หนังสะท้อนแสงยั่วยวนผู้คน เพียงยื่นตะเกียบไปคีบก็จะเด้งขึ้นมา
เฮิ่นปี่จวีซื่อไม่ได้กินอาหารรสเลิศระดับนี้มานานแล้ว นั่นเรียกได้ว่าราบคาบในอึดใจเดียว! หลังเขากินเนื้อจนเกลี้ยงยังรวบเคราไปด้านข้าง หยิบแป้งมาจุ่มน้ำแกงเนื้อก้นชามกินต่ออีก
เมื่อได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยความละอายใจของหลิ่วเหมียนถัง ท่านเฉินก็เช็ดปากก่อนโบกไม้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ยังไม่เคยลองฮูหยินจะตัดใจง่ายๆ ได้เยี่ยงไร ในเมื่อการวาดมือจำเป็นต้องวาดไปเผาไป เช่นนั้นวันนี้ข้าก็จะไปที่โรงเตาเผา เฝ้าเตาไว้และทดลองดู ขอเพียงฮูหยินมาส่งข้าวให้ข้าวันละสองมื้อก็พอแล้ว”
ในเมื่อท่านเฉินเต็มใจเหน็ดเหนื่อยลองดู หลิ่วเหมียนถังย่อมซาบซึ้งใจมาก กำชับให้หลี่มามาทำอาหารให้เขา ทุกมื้อจะต้องมีปลามีเนื้อจึงจะเหมาะสม
หลี่มามาไม่มีความสนใจในเรื่องกระตุ้นกิจการบนถนนสายเหนือขึ้นอีกครั้งสักนิด แต่เมื่อเห็นหลิ่วเหมียนถังกระตือรือร้นเช่นนี้ นางก็ไม่คิดห้ามปราม
ในเมื่อเป็นคนที่เหลือช่วงเวลาดีๆ อยู่อีกไม่มากแล้วก็ให้นางได้ทำตามใจเป็นพอ เกิดหาเงินขึ้นมาได้จริงๆ ไม่แน่ว่าท่านอ๋องอาจจะยกเงินให้นาง หญิงสาวไร้ที่พึ่งอย่างนางจะได้มีทรัพย์สมบัติติดกายบ้าง