ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 4-บทที่ 6
แน่นอนว่าเนื้อหาส่วนที่นางบังคับให้คนกินอุจจาระอย่างโหดร้ายถูกปล่อยผ่านไป เพื่อไม่ให้สามีเข้าใจผิดว่านางเป็นสตรีใจคอร้ายกาจ
แต่หลังหลิ่วเหมียนถังเล่าจบสีหน้าของชุยสิงโจวยังคงเรียบเฉย ขณะหลุบตาลงเป่าใบชาในถ้วย รูปโฉมหล่อเหลาประหนึ่งน้ำนิ่ง มองไม่ออกถึงคลื่นอารมณ์ใดๆ แลดูลึกล้ำไม่เห็นก้นบึ้ง
หลิ่วเหมียนถังเห็นว่าสามีไม่ได้อารมณ์เสียความมั่นใจก็เพิ่มพูนขึ้น รู้สึกว่าปัญหาที่ตนเองก่อไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่
ดังนั้นนางจึงเขยิบเข้าใกล้อีกเล็กน้อย เดินไปที่โต๊ะหนังสือแล้วหยิบกระดาษคำฟ้องร้องที่กัดพู่กันเค้นความคิดเขียนด้วยตนเองหลังตื่นตอนบ่ายมายื่นให้สามีอ่าน
หากเจ้านั่นรู้ตัวว่าตนเองผิด กล้ำกลืนไม่พูดอะไรก็แล้วไปเถิด แต่ถ้าอาศัยบารมีผู้อื่นมาหาเรื่องข้าอีก ก็จำต้องให้สามียื่นคำฟ้องร้องไปที่ที่ว่าการ ป้องกันไม่ให้หัวหน้าหน่วยรักษาการณ์มากล่าวโทษก่อน
ชุยสิงโจวคาดไม่ถึงว่าหลังหญิงสาวตกอับนางนี้ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นจะยังรู้สึกอยากเขียนคำฟ้องร้องอีก เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ในที่สุดก็ยื่นนิ้วออกไปคีบจดหมายมาอ่าน
พูดกันตามตรงลายมือนั้นช่าง…อัปลักษณ์เสียจริง ไม่รู้ว่าตอนหญิงสาวผู้นี้ยังไม่ออกเรือนสรุปแล้วชำนาญในด้านใดกันแน่ ทั้งงานเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร หรือแม้แต่วาดภาพก็เหมือนนางจะไม่ถนัดเลยสักอย่างเดียว
แต่หากตั้งใจอ่านดูก็จะพบว่าลายมือที่ยึกยือไม่ชวนมองพวกนี้เต็มไปด้วยความเผ็ดร้อนในทุกๆ คำ แต่ละคำคว้าจับจุดอ่อนของหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ตำบล ตั้งแต่ผ่อนปรนให้คนในครอบครัวแทะโลมหญิงชาวบ้านกลางถนน ลากยาวไปจนถึงความน่าเกรงขามของไหวหยางอ๋อง แต่ละคำล้วนเขียนว่าเป็นห่วงถึงบ้านเมืองและราษฎร
หลิ่วเหมียนถังอาศัยโอกาสช่วงสามีอ่านจดหมายไปหยิบพู่กันและแท่นฝนหมึก จากนั้นหลังกางกระดาษออกเรียบร้อยก็กล่าว “ลายมือของข้าไม่น่ามอง ส่งไปยังที่ว่าการไม่ได้ รบกวนสามีเปลืองแรงช่วยข้าเขียนด้วยลายมือที่งดงามจะได้ยื่นส่งไปให้ทางที่ว่าการได้ด้วยเจ้าค่ะ”
ชุยสิงโจวเลื่อนสายตาออกจากจดหมาย มองดูกระดาษกับพู่กันที่วางเรียงกันอยู่ รู้สึกว่าแม้หญิงสาวนางนี้จะสูญเสียความทรงจำ ทว่าท้ายที่สุดยังคงหลงเหลือกลิ่นอายของโจรเฉกเช่นสามีของนาง
ไม่รู้ว่าเจ้าโจรลู่เหวินนั่นโดนตัณหาบดบังสติปัญญาอย่างไรกันแน่ ถึงได้โปรดปรานหญิงสาวผู้นี้ถึงขั้นทำให้นางเอาตนเองเป็นใหญ่ แสดงท่าทีไร้กฎไร้ระเบียบเช่นนี้
คิดมาถึงตรงนี้เขาก็วางจดหมายลงเบาๆ พร้อมเอ่ย “เจ้าไม่ได้ทำร้ายหลานชายของหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ผู้นั้นหรอกหรือ หากถกกันโดยละเอียด เกรงว่าเจ้าต้องจ่ายค่ายาให้คุณชายท่านนั้นด้วยซ้ำ…”
ทันทีที่ได้ยินว่าต้องใช้เงินหลิ่วเหมียนถังก็ย่นคิ้ว เอ่ยเสียงเบา “แม้จะได้ยินว่าไหวหยางอ๋องผู้นั้นเป็นคนยุติธรรม รักใคร่ราษฎร แต่ให้ราษฎรฟ้องร้องขุนนางก็ออกจะเสียเปรียบอยู่บ้างจริงๆ เงินที่บ้านเหลือไม่มากแล้ว หากถูกเจ้าสารเลวนั่นขู่กรรโชกจนหมดตัวก็แย่สิ…ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้ว ขอให้ท่านพี่ลงโทษด้วย…”
พูดมาถึงตรงนี้หลิ่วเหมียนถังรู้สึกสำนึกเสียใจขึ้นมาจริงๆ ขอบตาแดงระเรื่อ มองไปที่ชุยสิงโจวอย่างหวั่นเกรงเสมือนเด็กน้อยทำความผิด
ทว่าชุยสิงโจวที่รีบเดินทางมาทั้งคืนไม่ได้ตั้งใจมาเล่นงิ้วกับนาง เพียงแค่ยกประเด็นสำคัญขึ้นมาถามเสียงอ่อนโยน “วิชาที่เจ้าจัดการคุณชายท่านนั้นไม่ธรรมดา ผู้ใดเป็นคนสอนเจ้ากัน”
คนที่ไม่รู้จักชุยสิงโจวล้วนรู้สึกว่าเขาเป็นคนใจกว้างพูดน้อย ไม่ว่าอารมณ์ใดๆ ก็ไม่แสดงออกมา เป็นสุภาพชนที่อ่อนน้อมอย่างมาก
นับตั้งแต่หลิ่วเหมียนถังกลับมาก็เป็นกังวลมาโดยตลอดว่าความสาแก่ใจชั่วครู่ชั่วคราวของตนจะสร้างปัญหา ทว่าสามีชุยจิ่วกลับไม่แสดงท่าทีหงุดหงิด ทั้งไม่ได้ตวาดตำหนิเสียงดังแต่อย่างใด
นางแอบรู้สึกดีใจอีกครั้งที่ตนเองได้แต่งให้กับสามีที่แสนอบอุ่นอ่อนโยนปานนี้
ตอนนี้ได้ยินเขาถามขึ้นหลิ่วเหมียนถังจึงตอบกลับอย่างซื่อสัตย์ “ท่านหมอเทวดาจ้าวทิ้งตำรากดจุดลมปราณเล่มหนึ่งไว้ให้ข้า จุดลมปราณในตำราจดบันทึกไว้อย่างชัดเจน วันนี้ข้าเองก็โชคดีถึงได้โจมตีถูกจุดในครั้งเดียว นับว่าไม่เสื่อมเสียชื่อเสียง…”
นางล้วนพูดความจริง ช่วงแรกที่นางเพิ่งฟื้นได้แต่นอนอยู่บนเตียงทุกวัน คิดอยากหาใครมาพูดคุยฆ่าเวลาก็ดันมาเจอช่วงเกิดความเปลี่ยนแปลงภายในสกุลชุยเข้า ช่วงเวลาที่เห็นหน้าพวกบ่าวรับใช้ลดน้อยลง บางครั้งคิดอยากดื่มน้ำยังเรียกหาใครไม่เจอด้วยซ้ำ
โชคดีที่ท่านหมอเทวดาจ้าวนิสัยไม่เลว เมื่อเห็นนางเบื่อหน่ายจึงนำตำราอ่านฆ่าเวลามาให้ รวมถึงมอบตำราแพทย์ที่สอนวิธีนวดกระตุ้นการไหลเวียนเลือดด้วยตนเองมาให้ด้วย
เพื่อเป็นการพิสูจน์คำพูด หลิ่วเหมียนถังจึงไปหยิบตำราที่ท่านหมอเทวดาจ้าวมอบให้จากหัวเตียงมาให้สามีดู เพราะคอยอ่านอยู่ตลอดในช่วงการเดินทาง นางจึงให้หลี่มามาช่วยห่อปกผ้าให้ ทะนุถนอมมันอย่างยิ่ง
คำตอบของนางอยู่เหนือความคาดหมายของชุยสิงโจวไปไกล เมื่อเขาพลิกเปิดตำราดูก็เห็นว่าในนั้นมีข้อความกำกับของสหายสนิทจ้าวเฉวียนอยู่จริงๆ พวกจุดลมปราณอันตรายบริเวณลำคอถึงกับใช้ชาดเขียนกำกับไว้ด้วยซ้ำ
หลิ่วเหมียนถังตั้งใจเขยิบเข้าใกล้สามี ใช้นิ้วเรียวยาวชี้ไปยังตัวอักษรเล็กๆ เหล่านั้น “ข้อความเหล่านี้ข้าเป็นคนขอร้องให้ท่านหมอเทวดาจ้าวเขียนกำกับไว้ให้ข้า แรกเริ่มก็เพียงอ่านฆ่าเวลาด้วยความเบื่อหน่าย นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ใช้ประโยชน์ คำโบราณกล่าวไว้ว่าแค่เปิดตำราอ่านก็มีประโยชน์ เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย!”
นางเพิ่งล้างหน้าล้างตัวเสร็จ พออยู่ใกล้ๆ กลิ่นสะอาดของเจ้าเจี่ยว* ก็ลอยวนเวียนอยู่แถวจมูก ทว่ากลับกระตุ้นเพลิงโทสะอันแปลกประหลาดขึ้นมาในใจชุยสิงโจว
นี่ใช่ตำราแพทย์ที่ใดกัน หลังจ้าวเฉวียนเขียนกำกับไว้โดยละเอียดเช่นนี้ก็ได้กลายเป็นตำราสังหารคนไปแล้ว! หญิงสาวบอบบางผู้หนึ่งสามารถใช้ปิ่นฆ่าคนตามจุดในภาพวาดได้แล้วด้วยซ้ำ!
แม้เขาจะรู้ว่าจ้าวเฉวียนเป็นคนไม่คิดมาก แต่ยังคงเกิดความคิดหุนหันอยากจะจับตัวสหายสารเลวยัดเข้าคุกแล้วใช้คีมเหล็กเผามาปรนนิบัติดีๆ สักรอบหนึ่ง ดูว่าจะทะลวงจุดสติปัญญาของจ้าวเฉวียนได้หรือไม่
เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็อดมองดูหลิ่วเหมียนถังที่กำลังช่วยพลิกหน้าตำราให้เขาด้วยสายตาเย็นชาไม่ได้
ยามนี้แสงเทียนอ่อนสลัว ใต้แสงสว่างพร่ามัวใบหน้าใต้การขับเน้นของเรือนผมดกดำของหลิ่วเหมียนถังเสมือนทอประกายเย้ายวนคน ดวงตารูปเมล็ดซิ่ง** มองเขายิ้มๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูน่าสงสาร
มิน่าจ้าวเฉวียนถึงโดนความงามมอมเมาสติปัญญา เสียสติไปโดยสมบูรณ์
แต่หลิ่วเหมียนถังไม่รู้ถึงคำค่อนขอดในใจชุยจิ่ว ยังคงเอ่ยถามอย่างขยันขันแข็ง “ท่านพี่หิวหรือไม่ ให้หลี่มามาทำบะหมี่ให้ท่านกินสักชามดีหรือไม่”