บทที่ 6
แม้ชุยสิงโจวจะดื่มสุราตอนอยู่ที่ศาลาบนภูเขา แต่เขาไม่ได้กินอาหารรองท้อง เดินทางลงจากภูเขามาจนตอนนี้ก็รู้สึกหิวแล้วจริงๆ
ดังนั้นเขาไม่รอให้หลิ่วเหมียนถังไปสั่งก็ตะโกนขึ้นเอง “หลี่มามา ยกอาหารเข้ามาหน่อย!”
น่าเสียดายที่เจ้านายย้อนกลับมากะทันหัน หลี่มามาไม่ได้เตรียมการอันใดไว้ เมื่อต้องการอย่างเร่งด่วนกะทันหันในห้องครัวจึงปราศจากวัตถุดิบ นางได้แต่ยกกับข้าวที่เมื่อเย็นทำให้หลิ่วเหมียนถังกินมาวาง
อาหารเย็นวันนี้คือหัวไช้เท้าแห้งที่ซื้อมาจากข้างทาง หลังแช่น้ำก็โรยเกลือคลุก นอกจากนี้ยังมีเต้าหู้รา*** อันเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นอีกก้อนหนึ่ง เพียงราดน้ำมันร้อนก็กินได้แล้ว
แม้ชุยสิงโจวจะไม่เลือกกิน แต่ก็คิดไม่ถึงว่าอาหารที่หลี่มามายกมาวางจะสะเพร่าขอไปทีเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่ว่ามีข้าวถ้วยหนึ่งให้กินคู่ด้วยก็แทบจะกลายเป็นอาหารนักโทษในคุกแล้วจริงๆ
แต่หลิ่วเหมียนถังกลับทำตัวเป็นธรรมชาติมาก ในสายตานางแล้วเพื่อประคับประคองครอบครัว หากประหยัดได้ย่อมประหยัด แต่เมื่อเห็นสามีย่นคิ้วน้อยๆ นางจึงตะโกนบอกให้หลี่มามาเอาน้ำมันงามา พร้อมเอ่ยปลอบสามีผู้เลือกกินไปด้วย “ท่านพี่เพิ่งย้ายมาอยู่ที่ใหม่ ไม่ว่าจะทำอะไรล้วนต้องใช้เงิน ปกติจึงต้องประหยัดมัธยัสถ์บ้าง วันนี้ดึกเกินไป หากกินมากจะไม่ดีต่อกระเพาะอาหาร ท่านพี่กินรองท้องไปก่อน เต้าหู้ราราดน้ำมันงาอร่อยมาก ถ้าหากไม่คุ้นปากวันพรุ่งนี้ข้าจะบอกให้หลี่มามาไปซื้อไก่ข้าวเหนียว**** มาให้ท่านกิน…”
ชุยสิงโจวจะฟังน้ำเสียงปลอบเด็กน้อยกินข้าวของหญิงสาวผู้นี้ไม่ออกได้อย่างไร เขาหัวเราะเสียงเย็นในใจ ทว่ากลับยกชามข้าวขึ้นมากินคู่กับหัวไช้เท้าแห้งไปเงียบๆ
ส่วนหลิ่วเหมียนถังก็คลุกเต้าหู้รากับน้ำมันงาอย่างกระตือรือร้น ทั้งยังช่วยรินชาร้อนให้ชุยสิงโจว
หลังกินอาหารเสร็จก็ดึกมากแล้ว ชุยสิงโจวรู้ว่าหากเวลานี้ยังบอกว่าจะไปตรวจบัญชีที่ร้านค้าอีก ต่อให้นางล้มศีรษะกระแทกมีปัญหามาก็ไม่มีทางเชื่อแน่
ครั้งนี้เขามาที่นี่ด้วยเจตนาจะจับจุดอ่อนนาง ในเมื่อต้องการดูว่านางมีความคิดจะลอบสังหารเขาหรือไม่ ก็ต้องเปิดโอกาสให้นางจึงจะถูก
ดังนั้นหลังกินอาหารเสร็จและเก็บจานชามตะเกียบไปเรียบร้อย ในห้องกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง ‘ท่านชุยจิ่ว’ ก็เอ่ยปากขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล “วันนี้เหนื่อยแล้ว รีบพักผ่อนเถอะ”
แม้หลิ่วเหมียนถังจะเดาได้แต่แรกว่าวันนี้สามีจะนอนในห้องนาง แต่พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้จริงๆ ก็ยังรู้สึกใจเต้นตึกตักๆ ขึ้นมาอยู่ดี
โชคดีที่หนึ่งปีมานี้หลังป่วยหนักนางยอมรับความจริงว่าตนเองเป็นภรรยาของชุยจิ่วมานานแล้ว แม้จะเคอะเขินแต่ก็ไม่สะดวกจะผลักไสสามีออกไปข้างนอก
นางเม้มปากพลางรีบเดินไปข้างเตียง จัดผ้าห่มแล้วหันกลับไปถาม “ท่านพี่ชอบนอนฝั่งใดหรือ”
ชุยสิงโจวดื่มชาก่อนตอบเรียบๆ “ข้านอนข้างนอก”
เพราะว่าในบ้านไม่มีชุดของชุยสิงโจว เขาจึงไม่อาจผลัดเปลี่ยนชุดแล้วนอนตามปกติได้ หลังล้างหน้าล้างตาง่ายๆ ถอดเสื้อนอกออกก็นอนลงบนเตียงโดยสวมแค่เสื้อตัวใน
แม้จะอยู่ห่างกันโดยมีผ้าห่มหนึ่งผืนกั้นไว้ แต่เขายังคงสัมผัสได้ว่าเรือนกายที่กรุ่นกลิ่นหอมของหญิงสาวข้างกายเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะไม่คุ้นชินหรือกำลังคิดว่าจะลอบโจมตีเขาเมื่อใดกันแน่…
ความจริงตอนนี้ในสมองของหลิ่วเหมียนถังเต็มไปด้วยความเสียใจภายหลัง เหตุใดเมื่อครู่นี้จะต้องเอ่ยปากถามเขาด้วย ให้เขานอนข้างในไปเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว
ตอนเย็นเมื่อครู่นี้เพราะว่าหัวไช้เท้าแห้งที่หลี่มามาคลุกมาเค็มเกินไป หลังกินข้าวเสร็จนางจึงดื่มน้ำไปหนึ่งกา คิดว่าตอนกลางคืนจะต้องลุกขึ้นมาแน่ๆ หากคลานเข้าออกไปมาเช่นนี้ มิใช่เป็นการรบกวนการนอนของสามีหรอกหรือ
คิดมาถึงตรงนี้นางก็อดทนไม่ไหว ตะแคงตัวเล็กน้อยมองสำรวจความเคลื่อนไหวของสามี
ยามนี้ภายในห้องมีแสงจันทร์กระจ่างส่องเข้ามาผ่านบานหน้าต่าง ตกกระทบลงบนปลายจมูกของชุยจิ่ว
สามีอยู่ใกล้กับนางเพียงนี้ แค่ยื่นนิ้วออกไปก็สัมผัสถึง…หลิ่วเหมียนถังฟังเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเขา ในหัวใจพลันผุดความหวานล้ำขึ้นมา
นับตั้งแต่นางป่วยหนัก แม้สามีจะดูแลนางอย่างละเอียดรอบคอบ ทว่าไม่เคยนอนร่วมห้องกับนางมาก่อน เริ่มแรกนางลอบรู้สึกสบายใจ ไม่คิดอยากนอนหลับร่วมกับสามีที่นับว่าเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง แต่พอนานวันเข้านางก็เริ่มจมลงสู่ห้วงแห่งความกังวลอันลึกล้ำ
ชุยจิ่วเป็นพ่อค้า มักจะออกไปทำการค้าข้างนอก จำเป็นต้องไปกินเลี้ยงในสถานที่ที่มีนางโลม รวมกับที่ชุยจิ่วมีรูปโฉมหล่อเหลา หญิงสาวข้างนอกเห็นแล้วมิต่างจากได้เห็นเนื้อโอชาหรอกหรือ
หากเขาติดนิสัยไม่ดีอะไรมา มิใช่จะทำให้ระหว่างสามีภรรยาหมางใจกันหรอกหรือ
โชคดีที่ตอนนี้พวกเขาลงหลักปักฐานอยู่ตำบลหลิงเฉวียน ในที่สุดสามีก็ไม่ต้องออกเดินทางตะลอนไปทั่ว นางก็สงบใจจากสภาพเคว้งคว้างหลังสูญเสียความทรงจำ ตั้งใจเป็นภรรยาของเขาได้แล้ว อีกอย่างอายุอย่างสามีก็ควรมีลูกแล้วด้วย…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้พวงแก้มของหลิ่วเหมียนถังพลันร้อนวูบวาบขึ้นมา นางค่อยๆ ยื่นมือไปลูบมือของชุยจิ่ว
นี่ต่างไปจากมือเรียวของนาง ฝ่ามือของเขาแบ่งแยกข้อกระดูกกับเส้นเอ็นชัดเจน สามารถกุมมือนางได้จนหมด…