ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ เล่ม 3 บทที่ 61 – 62
และบรรดาคนเก่าแก่ที่เหลือต่างรู้จักปรับหางเสือตามลม* พากันบอกว่าตนเองถูกเฉาอู่ยุแยง ไม่รู้ว่าเบื้องหลังมีเรื่องราวมากมายซ่อนอยู่ จากนั้นแต่ละคนก็รีบกระเจิงหนีไป
ในห้องโถงใหญ่โตท่ามกลางข้าวของที่ถูกพังเละเทะ ลู่อู่ยืนอยู่อย่างหดหู่ แผ่นหลังที่เหยียดตรงมาโดยตลอดคล้ายค้อมลงเล็กน้อย เขาเดินออกไปจากห้องโถง เงยหน้ามองแผ่นป้าย ‘สำนักคุ้มภัยเหลียงซิน’ ป้ายนั้น คล้ายเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในชื่อที่หลานสาวตั้งขึ้นมา
เขาหันกลับไปมองหลานสาวที่ตามออกมาช่วยประคองตัวเขา ก่อนถอนหายใจเอ่ย “เจ้ารู้สึกว่าท่านตาเจ้าใช้การไม่ได้ เลอะเลือนเหลือเกินใช่หรือไม่!”
หลิ่วเหมียนถังยิ้มน้อยๆ เอ่ย “หัวหน้าหน่วยรักษาการณ์อำเภอข้างเคียงดูเหมือนจะอายุมากกว่าท่านตาหนึ่งปี ก่อนหน้านี้เพิ่งรับอนุคนใหม่ไป ผ่านไปไม่กี่เดือนก็ตั้งครรภ์แล้ว ท่านตาแข็งแรงกว่าเขามากนัก หากยินยอมเป็นบิดาก็เพิ่มท่านอาน้อยให้ข้าได้อีกคน จะแก่ชราไปได้อย่างไร”
ลู่อู่เห็นนางทำตัวไม่จริงจังก็ถลึงตาใส่ “มีแต่คำพูดเหลวไหล ดูว่าข้าจะลงโทษให้เจ้าคุกเข่าที่ศาลบรรพชนหรือไม่!”
แต่เพราะความไม่จริงจังของหลิ่วเหมียนถังกลับช่วยให้เขาลดทอนความเศร้าหมองในใจได้ชั่วขณะ เพียงมองป้ายชื่ออีกสักพักแล้วเอ่ย “ข้าได้ยินว่าเจ้าเคยขอยืมสมุดรายชื่อไปคัดลอกรายชื่อผู้ที่รับเบี้ยรายเดือน บอกว่าจะซื้อของให้พวกท่านลุงท่านปู่ แต่ว่าสุดท้ายเจ้าไม่ได้ส่งมอบของออกไปสักส่วนเดียว…ข้าแก่แล้ว เรื่องบางอย่างไม่ได้มองล่วงหน้าไกลเหมือนเด็กอายุน้อย หลายสิบปีมานี้ก็นับว่าข้าทำดีต่อบรรดาลูกจ้างเก่าอย่างเต็มที่ น้ำใจที่ควรให้ก็ให้ไปหมดแล้ว พวกที่ไม่รู้จักรับน้ำใจล้วนเป็นสุนัขป่าตาขาวที่เลี้ยงไม่เชื่อง วันพรุ่งนี้ข้าจะเอากุญแจห้องบัญชีให้เจ้า เจ้าก็ลองคำนวณดู วันหน้าควรจะจ่ายให้หรือไม่ เจ้าตัดสินเอาเองเถอะ”
ลู่อู่จะไม่รู้สถานการณ์ยากลำบากในปัจจุบันของสกุลลู่ได้อย่างไร เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนเขาผ่านด่าน ‘คุณธรรม’ ไปไม่ได้ มิหนำซ้ำบุตรชายสองคนที่บ้านเองก็ควบคุมพวกคนเก่าแก่เหล่านั้นไม่อยู่
แต่ตอนนี้ให้หลิ่วเหมียนถังมาจัดการเรื่องเหล่านี้ เขากลับวางใจเป็นอย่างมาก
ยายหนูคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวและความสามารถ แล้วยังเป็นคนมีมโนธรรม รู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวต่อบรรดาเด็กกำพร้าและผู้อาวุโสอย่างไร หากสามารถปลดภาระหนักอึ้งของสกุลลู่ได้นับแต่นี้ วันเวลาของทุกคนในครอบครัวก็จะดีขึ้นมาบ้าง
แต่หลิ่วเหมียนถังกลับรู้สึกว่าตนไม่อาจหลงลำพอง สมควรทำตัวเกรงใจเสียหน่อย จึงเอ่ยอย่างถ่อมตนว่าตนความรู้โง่เขลา ขอเชิญท่านลุงใหญ่เป็นคนจัดการจะดีกว่า
ลู่อู่ถลึงตาใส่นางพลางเอ่ย “ตอนลูกจ้างมาเรียกตัวข้า พวกที่หาเรื่องน่าจะเพิ่งก้าวเข้าธรณีประตูมากระมัง เจ้าวางแผนล่วงหน้าไว้รอบคอบเพียงนี้ พูดจายุแยงให้เฉาอู่ทำลายข้าวของ ให้ท่านตาเจ้าได้เห็นงิ้วรื่นเริง ไฉนเลยจะความรู้โง่เขลา? ท่านลุงใหญ่เจ้าเป็นคนซื่อๆ ข้าว่าอย่าให้เขาเรียนรู้อะไรผิดๆ จากเจ้าจะดีกว่า!”
หลิ่วเหมียนถังนึกไม่ถึงว่าแผนการของตนเองจะถูกท่านตาจับได้เช่นนี้ นางรีบดึงตัวท่านตามาออดอ้อนอย่างรู้สึกผิดทันที
ลู่อู่ถลึงตาใส่นางพลางเอ่ย “เจ้าเปลืองแรงเพียงนี้ไม่ใช่รอให้คนแก่หัวรั้นอย่างข้ายอมโอนอ่อนหรือไร ตอนนี้เจ้าสมปรารถนาแล้วก็อย่ามัวแต่อยู่นอกบ้านทั้งวัน ควรกลับบ้านไปกินข้าวดีๆ ได้แล้ว”
หลิ่วเหมียนถังย่อมยิ้มรับปาก จากนั้นเรียกรถม้ามา หลังประคองท่านตาขึ้นไปบนรถม้าก็ตามเขากลับบ้านสกุลลู่ไปกินข้าวด้วยกัน
ตอนที่รถม้าจอดหยุดหน้าประตู พวกนางเจอกับท่านป้าสะใภ้รองจูงมือหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งออกจากบ้านมาอย่างสนิทสนมพอดี
หลิ่วเหมียนถังช้อนสายตามอง ที่แท้เป็นซูฮูหยิน แขกสูงศักดิ์ของบ้านท่านลุงรองนี่เอง
ฟังจากคำพูดของท่านป้าสะใภ้รองแล้ว นางตั้งใจจะพาซูฮูหยินกับคุณชายซูไปจุดธูปไหว้พระที่วัดฉานอินอันมีชื่อเสียงของซีโจว
และด้านหลังฮูหยินทั้งสองคนนอกจากญาติผู้น้องลู่ชิงอิง ยังมีคุณชายหน้าตาสุภาพผู้หนึ่งอีกด้วย
หลายวันมานี้หลิ่วเหมียนถังไม่ได้ร่วมกินอาหารกับคนในครอบครัวเลย วันๆ ออกจากบ้านแต่เช้ากลับมามืดค่ำ ย่อมไม่เคยทักทายคนสกุลซูอย่างเป็นทางการ
แต่นางก็เดาออกว่านี่น่าจะเป็นคุณชายซูที่ญาติผู้น้องต้องตา
ยามนี้ซูเหมียนเองก็กำลังมองตรงไปยังหญิงสาวรูปโฉมงดงามที่เพิ่งลงมาจากรถม้าผู้นี้เช่นกัน
เขามาพักอยู่ที่บ้านสกุลลู่ได้สักพักแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะไม่เคยเจอหญิงสาวงามผุดผาดสวยสะพรั่งเช่นนี้มาก่อน
นาง…นางเป็นคุณหนูสกุลลู่เหมือนกันหรือ
แต่ว่าซูฮูหยินยังคงทักทายท่านผู้เฒ่าลู่ก่อน หลังฟังคำแนะนำของเฉวียนซื่อเสร็จจึงมีอาการตอบสนอง อมยิ้มมองประเมินหลิ่วเหมียนถังพลางเอ่ย “ได้ยินมานานว่าท่านผู้เฒ่าลู่มีหลานสาวมากความสามารถ…จริงสิ สำนักคุ้มภัยที่นางเปิดชื่อว่าอะไรหรือ”
เฉวียนซื่อเอ่ยกลั้วหัวเราะ “สำนักคุ้มภัยเหลียงซิน ชื่อนี้ตั้งได้…”
ซูฮูหยินกลับยิ้มเอ่ยต่อ “ตั้งได้ดีนัก ร้านผ้าซึ่งเป็นสินเจ้าสาวของข้าก็ขนส่งผ่านเส้นทางซีโจว ได้ยินลูกจ้างบอกว่าพอเปลี่ยนมาใช้สำนักคุ้มภัยเหลียงซิน ทั้งประหยัดเงินและรวดเร็วกว่าเดิม”
เฉวียนซื่อฟังมาถึงตรงนี้ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม นางได้ยินจากบิดาของตนแต่แรกแล้วว่าบ้านสกุลเดิมของซูฮูหยินผู้นี้ร่ำรวยเงินทอง ตอนที่แต่งเข้าสกุลซูก็มีร้านค้าเป็นสินเจ้าสาวติดไปด้วยจำนวนมาก
นางมีบุตรชายอย่างซูเหมียนคนเดียว ถ้าอย่างนั้นกิจการในอนาคตจะไม่ใช่ของลูกสะใภ้ทั้งหมดหรอกหรือ
ยามนี้กลับได้ยินซูฮูหยินเอ่ยต่อว่า “ช่างบังเอิญจริงๆ บุตรชายข้าชื่อพยางค์เดียวว่า ‘เหมียน’ ในชื่อของคุณหนูหลิ่วเองก็มีคำว่า ‘เหมียน’ เห็นได้ว่าตอนแรกที่ตั้งชื่อคนเป็นพ่อแม่มีความคิดอย่างเดียวกัน ต่างหวังให้ลูกๆ ของตนเองไม่มีความกังวลเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่ม สามารถนอนหลับสนิท…”
เฉวียนซื่อรู้สึกระคายหูกับประโยคนี้ คุณชายซูมาดูตัวกับลู่ชิงอิงของบ้านนาง แต่ซูฮูหยินกลับยกเรื่องที่บุตรชายตนเองชื่อเหมือนกับหลิ่วเหมียนถังขึ้นมาพูด ถึงแม้ตอนท้ายจะเบี่ยงไปพูดถึงความปรารถนาของบิดามารดาอย่างดูดี แต่ยังคงไม่ค่อยเหมาะสมนัก
มิหนำซ้ำ…คุณชายซูผู้นั้นยังเอาแต่มองหลิ่วเหมียนถังคล้ายตกตะลึงไปกับความงามของนาง
เฉวียนซื่อรู้ว่ารูปโฉมของบุตรสาวตนเองเมื่อเทียบกับความงามพริ้มเพราของหลิ่วเหมียนถังนั้นเรียกว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว หากคุณชายซูต้องตารูปโฉมของหลิ่วเหมียนถังเข้าจะแย่เอา…
แต่เฉวียนซื่อคิดต่อว่าอดีตของหลิ่วเหมียนถังซับซ้อนเกินไป ซ้ำยังไม่มีบิดามารดา ตรงจุดนี้ไม่อาจเทียบกับลู่ชิงอิงได้
พอคิดเช่นนี้เฉวียนซื่อก็สบายใจขึ้นมาอีกครั้ง
ในเมื่อพวกเขาจะไปไหว้พระขอพร หลิ่วเหมียนถังเพียงยิ้มน้อยๆ คารวะบรรดาแขกเสร็จก็ตามท่านตาเข้าไปในบ้าน
ช่วงแรกที่นางกลับมาอยู่บ้านสกุลลู่ จู่ๆ ก็มีเวลาว่างเพิ่มขึ้นกะทันหัน ตกดึกเลยมักนอนไม่หลับ รวมกับที่ห้องครัวสกุลลู่ทำอาหารไม่ค่อยถูกปาก นางกินได้น้อยลงจึงซูบผอมไป
จวบจนตอนหลังไม่รู้ว่าห้องครัวทำอย่างไรกันแน่อาหารถึงเริ่มมีรสชาติขึ้นมา หลิ่วเหมียนถังถึงกินได้เยอะขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่ว่าโรคขี้หนาวเวลากลางคืนยังคงอยู่ บางครั้งจะนอนไม่หลับไปจนฟ้าสาง
หลายวันมานี้อากาศหนาวเย็น หลิ่วเหมียนถังนึกถึงขาหมูตุ๋นขิงที่หลี่มามาต้มขับไล่ไอหนาวให้นางขึ้นมา จึงให้ฟางเซียไปบอกห้องครัวให้อิงตามตำรับเฉพาะของหลี่มามาแล้วต้มออกมาเข้มข้นหนึ่งหม้อดิน ขาหมู ไข่ กับขิงแก่หนึ่งหม้อถูกต้มเอาไว้หลายวัน ตอนที่เนื้อเข้ารส ฟางเซียวางหม้อดินลงบนเตาอุ่นภายในห้องให้อุ่นร้อนก็กินได้แล้ว
หลิ่วเหมียนถังกินไปคำหนึ่ง ในรสชาติของน้ำขิงกับน้ำส้มดำเต็มไปด้วยไขมันของขาหมูผสมอยู่ เมื่อกินไข่ใบหนึ่งคู่กับน้ำแกงอุ่นร้อนแล้วพลันอบอุ่นไปทั่วทั้งร่าง
ทุกวันนี้กิจการขนส่งทางเรือของนางเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แม้ช่วงแรกจะทำกำไรได้ไม่ค่อยมาก แต่รอเบียดกิจการของสกุลเฉาจนเงียบเหงาลงได้เมื่อไร ผลกำไรของกิจการขนส่งทางเรือก็จะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน รอกิจการดีขึ้นจริงๆ เมื่อไร นางก็จะเปลี่ยนมือให้ท่านลุงใหญ่มาจัดการแทน ป้ายเก่าหลายสิบปีของสำนักคุ้มภัยเสินเวยก็ต้องแขวนกลับขึ้นไปใหม่
ส่วนท่านลุงรองหากเขามีหนทางหาเงินของตนเองก็ไปงมเอาเองเถอะ แต่จะให้บ้านรองมาดูแลครอบครัวออกจะไม่ค่อยเหมาะสมจริงๆ…
หลิ่วเหมียนถังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ ก่อนเอ่ยถามขึ้นกะทันหัน “ฟางเซีย เจ้าไปซื้อน้ำส้มดำรสหวานที่ใส่ในขาหมูตุ๋นขิงหม้อนี้มาจากที่ใด”
ฟางเซียตอบทันที “ออกจากบ้านไปเจอพ่อค้าหาบเร่ตะโกนขายน้ำส้มดำรสหวานของแท้จากหลิ่งหนานเลยซื้อกลับมาเจ้าค่ะ…มีอะไรหรือเจ้าคะ รสชาติไม่ถูกต้องหรือ”
หลิ่วเหมียนถังมองขาหมูตุ๋นขิงในมือก่อนยิ้มเอ่ย “ไม่มีอะไร พอดีอาหารที่ทำออกมารสชาติเหมือนหลี่มามาทำไม่มีผิด ข้าเลยลองถามดู…”
แต่ก่อนนางไม่รู้ว่าเหตุใดอาหารที่หลี่มามาทำจึงมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ต่างไปจากคนอื่น
ภายหลังถึงรู้ว่านั่นเป็นเพราะเครื่องปรุงรสหลายอย่างที่หลี่มามาใช้ต่างมีที่มาพิถีพิถัน ยกตัวอย่างเช่นน้ำส้มดำรสหวานสำหรับใช้ทำขาหมูตุ๋นขิง เป็นน้ำส้มดำตำรับของร้านเก่าแก่ที่หลิ่งหนาน หมักผ่านกรรมวิธีพิเศษ ในหนึ่งปีมีเพียงยี่สิบไหเท่านั้น นอกจากถวายให้ราชวงศ์ ส่วนที่เหลือจะนำเข้าจวนของอ๋อง โหว และอัครเสนาบดีเป็นหลัก
กระทั่งซีอิ๊วที่ใช้ตามปกติยังหมักมาจากปลากับกุ้งชั้นดี อาหารที่ทำออกมาจะไม่มีรสชาติเอร็ดอร่อยได้หรือ ดังนั้นรสชาติโอชาเช่นนี้จึงเป็นสิทธิพิเศษของจวนอ๋อง ไม่ใช่สินค้าที่พ่อค้าเร่ในตรอกจะขายได้