ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ เล่ม 3 บทที่ 63 – 64
ดังนั้นหลังคำนวณเวลาเรียบร้อย เขาจึงวางแผนให้ตนเองได้รับบาดเจ็บต่อหน้าทูตพิเศษของราชสำนัก ซ้ำยังทาหญ้ากร่อนกระดูกลงบนแผล ให้บาดแผลที่ขาดูร้ายแรงกว่าเดิม แล้วยังกระจายข่าวไปว่าขาพิการ ตอนนี้ภายในเมืองหลวงพูดถึงเรื่องอาการบาดเจ็บที่ขาของเขากันอย่างดุเดือด ไม่ต้องกลัวว่าองค์หญิงพยศผู้นั้นจะไม่รับรู้
เพราะว่าเขาปิดปากสนิท รวมกับใช้วิธีการแยบยล กระทั่งจ้าวเฉวียนยังถูกหลอกไปด้วย แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีความเสี่ยงบางอย่างเช่นกัน หากคุมปริมาณยาไว้ไม่ดีจะทำให้ตนเองพิการเข้าจริงๆ
ทว่าในสายตาของชุยสิงโจว หากขาพิการไปข้างหนึ่งแลกกับการปฏิเสธธิดาของไทเฮาชั่วได้ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว บุรุษควรใช้ชีวิตสง่าผ่าเผย เรื่องอื่นๆ ยอมก้มหัวชั่วคราวได้ แต่หากฝืนใจแต่งงานกับสตรีผู้หนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่คิดแล้วอึดอัดใจไปตลอดชีวิต
แต่เขาคาดไม่ถึงว่าบาดแผลที่ขาจะยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว ได้ล่อลวงแม่นางคนใจดำออกมาด้วยเหมือนกัน หากรู้ว่าได้ผลเช่นนี้เขาคงทำตนเองบาดเจ็บที่แนวหน้าไปนานแล้ว จะทนมาถึงตอนนี้ไปไย
ชุยสิงโจวที่เริ่มได้ลิ้มรสหวานตัดสินใจไม่เปิดเผยความจริง เพียงเอ่ยกล่อมหลิ่วเหมียนถังที่มองบาดแผลบนขาเขาจนตาแดง
ตอนนั้นเองหลี่มามาก็ยกน้ำแกงกลิ่นหอมฟุ้งหม้อหนึ่งเข้ามา นี่เป็นน้ำแกงที่หลี่มามาใช้ขิงแก่ ตับหมู พริกไทย และซานเย่าต้มออกมาหลังได้รับคำสั่ง สามารถขับไล่ไอหนาว ทำให้อุ่นท้องได้
เดิมนึกว่าท่านอ๋องต้องการกิน แต่ตลอดทางที่หลี่มามาเดินผ่านมา นางมองเห็นบรรดาองครักษ์ที่เพิ่งตื่นขึ้นมานั่งกันระเกะระกะ ในใจเองก็นึกคับข้องใจ
รอเข้ามาในห้องอุ่นได้เห็นว่าหลิ่วเหมียนถังอยู่ด้วย หลี่มามายังตกใจไปรอบหนึ่ง ดวงตาเบิกกว้างอย่างห้ามไม่ได้
เมื่อคิดถึงข่าวลือที่ว่าเมื่อครู่นี้ทุกคนภายในเรือนถูกควันยาสลบหมดสติ หัวสมองที่ไม่เคยปวดมานานของหลี่มามาลอบปวดหนึบขึ้นมาอีกครั้ง เพียงมองท่านอ๋องอย่างกระวนกระวายว่าจะจัดการกับคุณหนูหลิ่วที่บุ่มบ่ามบุกเข้ามากะทันหันอย่างไร
นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องดูไม่มีท่าทีจะไต่สวนความผิด เพียงเกลี้ยกล่อมให้หลิ่วเหมียนถังกินน้ำแกงไล่ไอหนาวลงไปก่อน
น้ำแกงไล่ไอหนาวค่อนข้างเผ็ด จึงไม่ถูกปากหลิ่วเหมียนถัง รวมกับว่านางมีเรื่องราวในใจมากมาย จะกินลงได้อย่างไร ท่านอ๋องกลับมีความอดทนยิ่ง นั่งลงข้างๆ นาง ถือชามด้วยมือเดียวแล้วบอกให้นางกินราวกับกล่อมเด็ก
รอนางฝืนกินหมดไปชามหนึ่ง ไหวหยางอ๋องก็สั่งให้สาวใช้เข้ามาทายาที่มือเท้าให้หลิ่วเหมียนถังต่อ
หลิ่วเหมียนถังคล้ายไม่ยินยอม ดึงดันจะให้ชุยสิงโจวใช้ยา ชุยสิงโจวเห็นดังนั้นก็หน้าทะมึนลงพลางเอ่ย “บอกแล้วอย่างไรว่าข้าไม่เป็นไร เหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อ หากเจ้ายังหนีอีก ข้าจะจับเจ้ามัดแล้วค่อยทายา!”
หลิ่วเหมียนถังเม้มปาก ท้ายที่สุดถึงยอมให้สาวใช้ทายาให้นาง พอหลี่มามาตั้งใจมองถึงพบว่าหลิ่วเหมียนถังดูผอมลงกว่าสมัยอยู่ด่านอู่หนิงเสียอีก…
หลี่มามาคิดถึงอารมณ์แปรปรวนช่วงที่ผ่านมาของท่านอ๋องก็ถอนหายใจ บนโลกใบนี้ความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษสตรีทรมานคนมากที่สุด กระทั่งท่านอ๋องผู้สุขุมรักสันโดษยังไม่เป็นข้อยกเว้น แต่ดูแล้วคุณหนูหลิ่วเองก็ได้รับความทรมานจากความคิดคะนึงเหมือนกัน
น่าเสียดาย ไม่ว่าจะมองอย่างไรทั้งสองคนก็ไม่ใช่คู่กัน!
หลังทายาเสร็จชุยสิงโจวโบกมือสั่งให้บรรดาบ่าวรับใช้ออกไปให้หมด
แต่หันมามองอีกที หลิ่วเหมียนถังคล้ายรู้สึกไม่สบายตัว
เพราะว่าการทายาเว้นช่วงไประยะหนึ่ง ตอนนี้มาใส่ยาอีกที บริเวณบาดแผลที่มือเท้าจึงให้ความรู้สึกเจ็บเสมือนกระดูกเส้นเอ็นงอกสมานขึ้นมาใหม่ เจ็บจนมีเหงื่อเม็ดละเอียดผุดมาบนหน้าผาก แล้วนอนขดตัวอยู่บนเตียง
ชุยสิงโจวขมวดคิ้วอยากกอดนางไว้ แต่หลิ่วเหมียนถังกลับกัดฟันหลีกเลี่ยงพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ข้ามาถึงที่นี่แต่กลับให้ท่านใช้ยาไม่ได้ มาเสียเที่ยวเสียแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ท่านอ๋องก็จับข้าเข้าคุกไปสอบสวนเถอะ ไม่ก็ปล่อยข้าไป ผู้อื่นจะได้ไม่เข้าใจผิด ทำลายชื่อเสียงของท่านอ๋อง”
ชุยสิงโจวมองสภาพตั้งใจปัดความสัมพันธ์ทุกอย่างของนางก็นึกโมโหขึ้นมา แต่ทุกวันนี้เขาได้เรียนรู้แล้วว่าไม่อาจใช้ไม้แข็งกับหลิ่วเหมียนถังได้ นางใจแข็งมาก บอกจะไปก็ไปจริงๆ
ดังนั้นเขาแค่ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดชวนโมโหของนาง เอ่ยน้ำเสียงโอนอ่อนลง “ต่อให้เจ้าไม่มาข้าก็ตั้งใจอยู่แล้วว่ารอบาดแผลหายดีเมื่อไรจะไปหาเจ้า แม่นางหลินที่เจ้าเคยช่วยไว้ที่แท้เป็นถึงธิดาของกษัตริย์เฒ่าเผ่าชาวหมาน นางเตรียมสมุนไพรจำนวนมากฝากข้ามามอบให้เจ้า แม้ตัวยาจะไม่มีประโยชน์เท่าที่ข้าเตรียมให้ แต่ได้ยินว่าฤทธิ์ในการขับไล่ไอหนาวไม่เลว…”
พูดมาถึงตรงนี้เขาทนไม่ไหวอีก คว้าตัวหลิ่วเหมียนถังที่ขดตัวเป็นก้อนเข้ามากอด ช่วยนวดข้อมือให้นางพลางเอ่ยเสียงเบา “เด็กดี ทนไว้ ประเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”
หลิ่วเหมียนถังไม่อยากทำตัวใกล้ชิดกับเขาเพียงนี้ ตั้งใจจะผลักเขาออก แต่เขาตั้งมั่นกอดเอาไว้ไม่ปล่อยมือ หลิ่วเหมียนถังจะผลักเขาออกห่างได้อย่างไร
นางรู้สึกหงุดหงิด จึงเปิดปากเอ่ย “ท่านตั้งใจจะทำอะไร ยังไม่ปล่อยมืออีก!”
ชุยสิงโจวมองดวงตาคู่งามรวมถึงพวงแก้มที่มีผมยาวลงมาปรกของนาง ก่อนลากเสียงยาวเอ่ย “ข้าอยากต้มข้าวต้มกับเจ้า…”
เริ่มแรกหลิ่วเหมียนถังไม่เข้าใจ กะพริบตาปริบๆ มองชุยสิงโจวอย่างสงสัย แต่เขากอดตนเองแน่นขึ้นเรื่อยๆ หลิ่วเหมียนถังพลันเข้าใจความนัยของเขาขึ้นมา…
สมัยที่เป็นคู่สามีภรรยาปลอมๆ กับเขา นางเคยเลียนแบบประโยคหยอกล้อระหว่างคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวคู่หนึ่งบนถนนสายเหนือให้ชุยสิงโจวฟังกึ่งล้อเล่น บอกว่าเวลาสามีว่างต้องกลับจากค่ายทหารมาอุ่นข้าวต้มกับนาง อย่าปล่อยให้เตียงเย็นเยือก…
แต่ตอนนี้นางกับเขาเย็นเยือกกันจนไม่อาจเย็นไปมากกว่านี้แล้ว จู่ๆ เขายกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ชวนให้คนอับอายและกระอักกระอ่วนอย่างตั้งตัวไม่ทัน
หลิ่วเหมียนถังเกือบจะทุบลงบนขาข้างที่บาดเจ็บของเขา “ตะ…ต้มอะไรกัน! ข้าไม่ใช่ข้าวในหม้อท่านด้วยซ้ำ!”
ชุยสิงโจวอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ก้มหน้าลงจุมพิตริมฝีปากของนาง ใครสนว่านางอยู่ในหม้อใคร คิดถึงนางมานานเพียงนี้ น้ำข้าวต้มเล็กน้อยก็ควรทำให้กินสักหน่อยกระมัง
รอจุมพิตเร่าร้อนผ่านไป ริมฝีปากกระจับของหลิ่วเหมียนถังย้อมไปด้วยสีแดงปานแต้มชาด ดวงตาคู่กลมคล้ายอยู่ในไอหมอก หอบหายใจนิดๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มีเสน่ห์
แต่ชุยสิงโจวไม่อาจทำไปมากกว่านี้ได้แล้ว
เพราะหลิ่วเหมียนถังร้องไห้แล้วจริงๆ
“ข้าไม่ควรมาที่นี่เลย…ท่านทั้งไม่เต็มใจใช้ยา ทั้งเห็นข้าเป็นข้าวต้มที่เติมเต็มท้องได้ทุกเมื่อ…ท่านไม่ได้จะอภิเษกสมรสกับองค์หญิงหรือไร ไยต้องมาหาเรื่องข้าเช่นนี้ด้วย”
ชุยสิงโจวเห็นนางร้องไห้ คิ้วเข้มก็ขมวดเป็นปม “ฟังคำพูดเหลวไหลจากจ้าวเฉวียนอีกแล้ว? ไม่มีพระราชโองการ ใครบอกว่าข้าจะอภิเษกสมรสกับองค์หญิง อีกอย่างตอนนี้ข้าขาพิการเช่นนี้ ราชสำนักเองก็รู้ ไทเฮาจะทรงยอมประทานธิดาสุดที่รักให้แต่งกับคนพิการได้อย่างไร”
หลิ่วเหมียนถังสูดจมูกพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ท่านจะแต่งกับใครล้วนไม่เกี่ยวกับข้า หากไม่สอบสวน ข้าจะกลับแล้ว”
ชุยสิงโจวจับมือนางไว้แล้วเอ่ยเสียงเบาเช่นกัน “พวกเราแยกจากกันมานานเพียงนี้ วันๆ ข้าอยู่แต่กับกลุ่มชายฉกรรจ์ ยุ่งแต่กับศึกสงคราม เวลาที่เหลือล้วนคิดถึงเจ้าแทบขาดใจ แต่เจ้าเล่า ที่บ้านสกุลลู่ไม่รู้ว่ามีคุณชายซูก้นสุนัขจากที่ใดมาตามติดเจ้า ทั้งยังมีแม่สื่อแวะเวียนมาถามทุกสามวันห้าวันอีก สภาพแทบอยากจะแต่งออกไปทันที เจ้าทำเช่นนี้ไม่ผิดต่อข้าหรือ”
หลิ่วเหมียนถังรู้ว่าฟั่นหู่คอยส่งจดหมายให้ชุยสิงโจวเสมอจึงไม่แปลกใจที่เขารู้เรื่อง แต่ได้ยินว่าเขาคิดถึงนาง หลิ่วเหมียนถังกลับเงยหน้าขึ้น “คิดถึงข้าไปไย”
ชุยสิงโจวหน้าตึง “เจ้าไม่คิดถึงข้าหรือ ตอนนั้นเรียกสามี ท่านพี่อย่างคล่องปากเพียงนั้น พริบตาเดียวก็ลืมกันไปแล้ว นี่ใช้ได้หรือ”
หลิ่วเหมียนถังถูกเขาทำให้โมโห จึงผละตัวจากอ้อมกอดเขามานั่งบนเตียง เอ่ยกับชุยสิงโจว “ท่านหลอกลวงข้า แต่กลับพูดว่าข้าใช้ไม่ได้! ท่านใช้ได้หรือไร”
ชุยสิงโจวชอบเวลาหลิ่วเหมียนถังโมโหจนพองแก้มมาก เขาโอนอ่อนน้ำเสียงลง “ความหมายของข้าคือคนเราทำอะไรอย่าสุดโต่ง ปกติเวลาเจ้าทำการค้าไม่ใช่ชอบพูดว่าค้าขายไม่สำเร็จ มิตรภาพยังอยู่หรือ มีอย่างที่ใดค้าขายไม่สำเร็จก็ชักสีหน้าจากไป หรือว่าวันหน้าการค้าอื่นๆ ก็ทำไม่ได้แล้ว?”
หลิ่วเหมียนถังถูกเขาทำให้โมโหจนอ้าปากค้าง ถลึงตาถาม “เช่นนั้นท่านอ๋องลองพูดมา วันหน้าพวกเรายังมีการค้าขายอะไรให้พูดคุยกันอีก”
ความจริงชุยสิงโจวก็ยังไม่คิดให้ดี แต่เขาไม่อยากจะแยกกับหลิ่วเหมียนถัง “พวกเราเป็นสามีภรรยากันมานานเพียงนี้ บอกจะแยกก็แยกได้อย่างไร เจ้าต้องให้เวลาข้าคิดเสียหน่อย…”
แม้หลิ่วเหมียนถังจะพยายามเตือนตนเองสุดชีวิตว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นท่านอ๋อง นางล่วงเกินไม่ได้ กระทั่งตอนที่นางเลิกกับเขา ในใจเองก็ข่มเพลิงโทสะไว้อยู่