ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ เล่ม 3 บทที่ 65-66
สงครามที่ซีเป่ยเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนแล้ว
หลินซือเยวี่ย…หรือก็คือองค์หญิงที่มีนามเดิมว่า ‘ฉุนเยวี่ย’ ได้รับการแต่งตั้งจากต้าเยี่ยนอย่างเป็นทางการ กลายมาเป็นกษัตรีแห่งชนเผ่าชาวหมาน ส่วนอากู่ซั่นถูกผู้ใต้บังคับบัญชาของชุยสิงโจวไล่ล่าไปถึงตอนเหนือของภูเขาหิมะ ทำอะไรไม่ได้ไปนานแล้ว
ชุยสิงโจวใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีก็ปราบปรามความไม่สงบของซีเป่ยลงได้ มีคุณงามความดีทางการศึกโดดเด่น ตามหลักควรกลับเมืองหลวงไปรายงานตัว รวมถึงส่งมอบอำนาจทางการทหาร
แต่ทุกวันนี้เป็นเพราะขาได้รับบาดเจ็บ เขาสามารถพักรักษาตัวอยู่ที่โยวโจวได้อย่างสง่าผ่าเผย ดื่มด่ำช่วงเวลาสบายผ่อนคลายอันหาได้ยากตลอดเกือบปีที่ผ่านมา
บัดนี้แม้จะเป็นช่วงต้นเดือนสอง แต่เพราะตำแหน่งที่ตั้งของโยวโจว ฤดูใบไม้ผลิจึงมาเยือนอย่างอบอุ่นเป็นพิเศษ บนเนินดินนอกโยวโจวเต็มไปด้วยดอกผีเสื้อผลิบาน
สีม่วงอาบย้อมเนินดินกลายมาเป็นทะเลดอกไม้สุดลูกหูลูกตา ชักนำให้ชายหญิงนับไม่ถ้วนจับคู่กันมาท่องเที่ยว เมื่อเจอพุ่มดอกไม้บานสะพรั่งก็ปูเสื่อนั่งลงบนพื้น ดื่มสุราเลิศรส กินอาหารที่นำมาด้วยตนเอง ชื่นชมความงามของฤดูใบไม้ผลิ
ไหวหยางอ๋องออกไปในชุดลำลอง แม้จะพาบ่าวรับใช้มาด้วยมาก แต่เขาไม่มีอะไรแตกต่างจากบรรดาลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่รวมกลุ่มกันมาเหล่านั้น
เพียงแต่บาดแผลที่ขาของเขายังไม่หายดี ยังคงต้องใช้ไม้เท้า
เมื่อมองไปไกลๆ เห็นคุณชายหล่อเหลาสง่างามในชุดบัณฑิตสวมกวนหยก ทว่ากลับเดินกะเผลก ช่างชวนให้คนรู้สึกเสียดายจากใจ
และหญิงสาวในชุดสีขาวที่ยืนอยู่ข้างกายคุณชายท่วงท่าไม่ธรรมดาผู้นั้น ยิ่งชวนให้คนละสายตาไม่ลง
ในฤดูใบไม้ผลิสตรีนิยมแต่งตัวสดใส เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด น่าเสียดายที่สีดอกไม้กำลังงดงาม ชุดจัดจ้านเกินไปจะทำให้มองไม่เห็นความงามแทน
แต่เมื่อสีขาวยืนเด่นอยู่ในทะเลดอกไม้สีม่วงอ่อนผืนนี้กลับดูพอดิบพอดี รวมกับตัวคนที่งดงาม เอวคอดกิ่ว เรือนผมสีดำขลับเกล้ามวย ยามมองไปไม่มีผู้ใดไม่กลั้นหายใจ รู้สึกว่าภูตดอกไม้กระโดดออกมาจากทะเลดอกไม้แล้ว
ลู่เซี่ยนไม่ได้ตามไปด้วย แต่นั่งอยู่บนเสื่อที่อยู่ห่างจากพวกเขาสองคนไม่ไกล
คนคู่นั้นที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำไม่รู้กำลังพูดคุยอะไรกัน เห็นเพียงหลิ่วเหมียนถังทำให้ไหวหยางอ๋องหัวเราะออกมาเสียงดัง แต่ตัวหลานสาวคล้ายจะโมโหมาก
ต่อมาไหวหยางอ๋องยื่นมือไปจับมือของหลิ่วเหมียนถังอย่างไม่เหมาะสม แกว่งมือนางไปมาราวกับกล่อมเด็กน้อย
ลู่เซี่ยนมองจนร้อนใจ ลุกขึ้นเตรียมจะเข้าไปจับทั้งสองคนแยกจากกัน
แต่ยังไม่ทันลุกจนสุดก็ถูกบ่าวโม่หรูที่อยู่ด้านข้างสกัดเข้าให้ “โอ๊ะ ท่านลู่ บ่าวเพิ่งอุ่นสุราให้ท่านเรียบร้อย ท่านรีบดื่มตอนที่ยังร้อนอยู่เถอะขอรับ!”
ลู่เซี่ยนร้อนใจจนติดอ่าง “ดะ…ดะ…ดื่มอะไรเล่า! เขา…เขาจับ…จับ…”
โม่หรูมองตามมือของเขาไป ยามนี้ท่านอ๋องไม่ได้จับมือของคุณหนูหลิ่วแล้ว แต่ชวนนางนั่งยองๆ ริมแม่น้ำ ใช้กิ่งไม้กิ่งหนึ่งเขียนบางอย่างบนชายหาด
ศีรษะของทั้งสองคนค่อนข้างใกล้ชิดกัน ไม่รู้กระซิบกระซาบอะไร มีสภาพตัวติดกันแบบคู่ชายหญิงที่จับมือกันมาท่องเที่ยวฤดูใบไม้ผลิอย่างเห็นได้ชัด
โม่หรูมองอยู่สักพักก็รู้สึกว่าช่างเป็นคู่ที่รื่นตานัก ก่อนหันกลับมาเอ่ยกับลู่เซี่ยน “บ่าวขอเอ่ยประโยคที่ไม่เหมาะสมเสียหน่อย สมัยที่อยู่ด่านอู่หนิง หากไม่ใช่ว่าท่านผู้อาวุโสโผล่มากะทันหัน ท่านอ๋องของพวกเรากับคุณหนูหลิ่วดีต่อกันยิ่งยวด ผลปรากฏว่าพอท่านโผล่มาก็ทำเอาวุ่นวายไปหมด ซ้ำไม่บอกกล่าวสักคำก็แอบพาคนหนีไป…ทำเอาท่านอ๋องของพวกเราเคว้งคว้างจนนอนไม่หลับ! โชคดีที่ท่านอ๋องของพวกเราเป็นคนมีความสามารถ มีสมาธิ มีความอดทนมากพอ สู้ศึกจนชาวหมานหนีหัวซุกหัวซุน ไม่อย่างนั้นแค่จากเรื่องที่ท่านพาคุณหนูหลิ่วจากไปเงียบๆ จนรบกวนให้ท่านอ๋องเสียสมาธิตรงจุดนี้ก็ลงโทษท่านฐานสร้างความปั่นป่วนให้กองทัพได้แล้ว!”
ลู่เซี่ยนเป็นคนซื่อเกินไป โดนคำพูดโม่หรูทำเอาโมโหจนหายใจไม่ออก ค้างอยู่ในลำคอ “ลง…ลง…”
ปี้เฉ่าที่อยู่ด้านข้างได้ยินเข้าก็ทนไม่ไหว ช่วยพูดแทนนายท่านใหญ่ของตนเองทันที “ลงโทษกับผีสิ! ท่านอ๋องของพวกเจ้าเกรงอกเกรงใจนายท่านใหญ่พวกเราด้วยซ้ำ ผีน้อยอย่างเจ้ากลับแต่งเรื่องหลอกคนออกมา! ขอถามท่านโม่ ตอนนี้ท่านเป็นแม่ทัพหรือท่านที่ปรึกษา เปิดปากปิดปากก็เอาแต่สั่งลงโทษคน?”
โม่หรูไม่ยอม โต้เถียงกับปี้เฉ่าขึ้นมาทันที
สุดท้ายเป็นหลี่มามาเอ็ดพวกเขาเสียงเบาด้วยสีหน้าดำทะมึน “ทำอะไรกัน! ถ้ายังทะเลาะกันต่อ กลับไปก็ไปรับโทษโบยกันให้หมด!” เช่นนี้ทั้งสองถึงได้หยุดการปะทะฝีปากของพวกเขาลงได้
คราวนี้ลู่เซี่ยนแอบมองไปอีกที สองคนนั้นเดินไปไกลมากแล้ว เขาก้าวย่ำไปที่ริมแม่น้ำเมื่อครู่นี้ เห็นบทกวีชดช้อยบทหนึ่งเขียนอยู่บนพื้น
‘คืนก่อนนิทราฝัน จารจำเพียงแสงโคมสลัว พบกันอีกครั้งแสนสั้น เฝ้ารอจะได้ครองคู่ในเร็ววัน…’
บทกวีบทนั้นเขียนแล้วช่างเผยความเจ้าชู้กรุ้มกริ่มเสียจริง!
สมัยวัยหนุ่มลู่เซี่ยนไม่เคยแต่งบทกวีเกี้ยวสาว แต่บิดาเขาเคยพูดว่าพวกบัณฑิตตัวเหม็นคือพวกหน้าไม่อายมากที่สุด เดิมควรเป็นความรู้สึกส่วนตนระหว่างชายหญิงก็ยังเขียนป่าวประกาศออกมา ดีไม่ดียังจะกลายเป็นวรรคทองให้ผู้คนเล่าลือกันไปนับพันปีอีกต่างหาก
สามารถเขียนประโยคแทะโลมเช่นนั้นได้ ไม่ใช่ของดีอะไรทั้งนั้น!
วันนี้ดูแล้วบิดาเขาช่างฉลาดเฉลียวเพียงใด แต่หญิงสาวอายุน้อยก็ดันตกหลุมพรางเช่นนี้กันหมด
ลู่เซี่ยนกลัวจริงๆ ว่าหลานสาวตนเองจะถูกไหวหยางอ๋องที่เขียนบทกวีแทะโลมเป็นปลุกปั่นจนหัวหมุนอีกครั้ง ต้านทานการตามตอแยเกี้ยวพานของอีกฝ่ายไม่ไหว ยอมรับปากเป็นอนุไป
ความจริงไหวหยางอ๋องเขียนบทกวีลงบนหาดด้วยความรู้สึกที่ผุดขึ้นกะทันหัน แต่ก่อนตอนที่ญาติผู้น้องเขียนบทกวีให้เขาใต้แสงจันทร์ เขายังมีสีหน้ารำคาญใจ คิดว่ามีเวลาว่างมาใคร่ครวญเรื่องพวกนี้เสียที่ใดกัน
แต่บัดนี้ถึงได้รู้สึกตัว ตอนที่ตนเองเขียนบทกวีถ่ายทอดความรู้สึกบทนี้ก็สามารถเขียนออกมาได้โดยไม่ต้องคิด
น่าเสียดายที่หลิ่วเหมียนถังไม่ตอบรับความรู้สึก เห็นบทกวีแล้วกลับไม่พอใจขึ้นมาแทน
“เอาแต่พองแก้มจนใกล้จะเป็นซาลาเปาอยู่แล้ว ไม่ใช่ตกลงกันแล้วหรือว่าวันนี้ออกมาเที่ยวจะคิดถึงแต่เรื่องมีความสุข ไม่พูดเรื่องที่ทำให้หมดสนุก” ชุยสิงโจวจับมือนางเดินไปพลางเอ่ยไปพลาง
ความจริงเวลาหลิ่วเหมียนถังโมโหเองก็น่าดูชมมาก ระลอกคลื่นน้ำระยิบระยับสะท้อนเรืองรองอยู่บนใบหน้าของนาง สีคิ้วล้วนปกคลุมอยู่ในแสงสว่าง
หลิ่วเหมียนถังถอนหายใจเอ่ย “ปัญหาของสำนักคุ้มภัยมีมากเกินไป หลายเรื่องต้องให้ข้าจัดการด้วยตนเอง ไม่อาจเสียเวลาได้จริงๆ ขอท่านอ๋องโปรดเข้าใจ อนุญาตให้ข้ากับท่านลุงใหญ่เดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ด้วย”
ชุยสิงโจวหยุดเดิน เอ่ยว่า “ไม่ใช่ตกลงกันแล้วว่าจะอยู่ต่ออีกสักพักหรือ”
หลิ่วเหมียนถังก้มหน้า หลุบตาพูด “ท่านแค่พูดเอาเอง ข้าไม่ได้ตอบตกลงเสียหน่อย”
ชุยสิงโจวลากเสียงยาว “แต่ก่อนทุกครั้งที่ข้าจะไป เจ้าล้วนตัดใจไม่ได้สารพัด บัดนี้เป็นอะไรไป จะต้องรีบแยกจากข้าให้ได้…”
หลิ่วเหมียนถังเบือนหน้าหนีเอ่ยเสียงเย็น “แต่ก่อนข้าเป็นแค่คนโง่งม ถูกหลอกลวงแล้วก็ยังไม่รู้ตัว ตอนนี้เติบโตขึ้นมาอีกปี จะเอาแต่โง่เขลาต่อไปคงไม่ได้ หากท่านอ๋องรู้สึกไม่พอใจก็เชิญตามหาคนใหม่ จากรูปโฉมและความสามารถของท่านอ๋อง สามารถหาคนที่เต็มใจเย็บเสื้อผ้า ทำอาหาร ยกถาดเสมอคิ้วให้ท่านได้อย่างแน่นอน”
ชุยสิงโจวสูดหายใจเข้า รู้ดีว่าพอพูดถึงหัวข้อนี้เมื่อไร ตนเองไม่มีโอกาสจะชนะได้เลย ดังนั้นจึงโอนอ่อนน้ำเสียงลง ตบหลังมือนางเบาๆ พร้อมเอ่ย “พอแล้ว แต่ก่อนเป็นความผิดของข้า ข้าไม่ควรหลอกลวงเจ้า ในเมื่อเจ้าจะไปข้าก็จะไม่รั้งอยู่อีก ถึงอย่างไรอีกไม่นานข้าก็จะไปซีโจว…เจ้าไม่ต้องคิดอะไรแล้ว เรื่องทุกอย่างหลังจากนี้ให้ข้าเป็นคนจัดการเอง รอพวกเรากลับไปเจินโจว ทุกอย่างล้วนสามารถทำตามที่เจ้าต้องการ…”
หลิ่วเหมียนถังไม่พูดอะไร ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีทางตามเขากลับไปเจินโจว หากเขายังคิดรับนางเป็นอนุ วันหน้าก็จะมีสักวันที่เขายอมตัดใจ