ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 7-บทที่ 9
บทที่ 8
แม้ระยะนี้เจินโจวจะมีการซ่อมบำรุงเส้นทางน้ำ แต่หลายคนก็ไม่ได้คิดไปถึงเรื่องที่คลองภายในจะเชื่อมถึงกันแล้วที่ดินมีราคาเพิ่มมากขึ้นนี้สักนิด
หากนายท่านของตนเป็นพ่อค้าผู้หนึ่งจริงๆ ก็สามารถนั่งรอวันที่ราคาที่ดินของร้านค้าปลีกวิเวกแห่งนี้เพิ่มสูงขึ้นได้เลย
หลิ่วเหมียนถังกำลังนึกด้วยความตื่นเต้นก็ได้ยินเสียงเอ่ยหยอกเย้าดังมาจากข้างนอกร้าน “ท่านเก้า ท่านมีภรรยาดีๆ เช่นนี้ วันเวลาที่จะร่ำรวยเทียบเคียงบ้านเมืองคงอยู่อีกไม่ไกลแล้ว!”
หลิ่วเหมียนถังเงยหน้ามอง ที่แท้เป็นหมอเทวดาจ้าวที่รักษานางกำลังเดินเคียงข้างมากับสามีนางชุยจิ่ว
พวกเขาต่างเป็นบุรุษรูปโฉมหล่อเหลารูปร่างสูงโปร่ง ทั้งยังอยู่ในอาภรณ์หรูหรา ศีรษะสวมกวาน* หยกดูสะดุดตาผู้คน โชคยังดีที่ที่นี่เป็นตรอกปลีกวิเวก ไม่อย่างนั้นแค่ชุยจิ่วคนเดียวก็ดึงดูดสายตาหญิงสาวที่เดินผ่านให้หยุดยืนดูแล้ว
ช่วงนี้หลิ่วเหมียนถังไม่ได้เจอหน้าสามีเลย ตอนนี้ได้มาพบกันที่นี่จึงดีใจมาก รีบเข้าไปคารวะทั้งสองคน “ท่านพี่กับท่านหมอเทวดามาที่นี่ได้อย่างไรกัน”
จ้าวเฉวียนแย่งเอ่ยกลั้วหัวเราะตอบ “ข้ากับท่านเก้าไปเยี่ยมสหายที่อำเภอข้างเคียง เพิ่งกลับมา บังเอิญเห็นเจ้าเดินนำนายช่างมาทางนี้จึงตามมาดู…”
ทุกวันนี้ยิ่งจ้าวเฉวียนได้เจอหลิ่วเหมียนถังก็ยิ่งพึงพอใจมากขึ้น แม้ในจวนของเขาจะมีภรรยาและอนุมากมาย แต่ก็มีเพียงพวกคนที่รู้จักใช้เงิน ไม่รู้จักดูแล
ภรรยาเอกของเขาเป็นบุตรสาวคนโตของอันกั๋วกง** นิสัยเฉยชา หลงใหลในรสพระธรรมตามมารดานาง เริ่มแรกหากไม่ใช่อันกั๋วกงขัดขวางไว้สุดกำลัง ก่อนแต่งงานนางยังเคยตั้งปณิธานจะออกบวชเป็นชีเสียด้วยซ้ำ
คนศึกษาในพระธรรมให้ความสำคัญกับเรื่องความสงบสุขและใจกว้าง แต่ภรรยาแสนดีของเขากลับดีนักเชียว ถึงขั้นศึกษาจนเสียสติ ไม่สนใจเรื่องทางโลก หลังแต่งงานมาไม่มีความรู้สึกผูกพันฉันสามีภรรยาใดๆ ให้กัน ในสายตานางแล้วจ้าวเฉวียนยังน่าสนใจสู้ปลาไม้*** ไม่ได้ด้วยซ้ำ
มีนายหญิงที่วันๆ เก็บตัวอยู่ในห้องพระ เรื่องจิปาถะต่างๆ ในจวนโหวก็สับสนวุ่นวายไปหมด ดังนั้นท่านโหวจ้าวจึงคิดว่าหากอนาคตเขาพาหลิ่วเหมียนถังเข้าบ้าน คนที่เฉลียวฉลาดอย่างนางจะต้องจัดการงานภายในจวนโหวได้อย่างแน่นอน
หลิ่วเหมียนถังได้ยินเขาพูดก็เพียงแค่ยิ้มน้อยๆ ตอบอย่างสุภาพ ด้วยกลัวว่าสามีจะรีบใช้งานร้านค้า ดังนั้นหลังได้ร้านมาหลิ่วเหมียนถังก็จ้างช่างจำนวนหนึ่งมาจากตลาดตะวันตก เตรียมจะปรับปรุงร้านค้าทันที
เพื่อเป็นการประหยัดเงิน งานหลายอย่างที่ไม่จำเป็นต้องใช้แรงต่างมีนางกับบ่าวหญิงสองคนเป็นผู้ทำ
ภายในร้านยามนี้จึงค่อนข้างวุ่นวาย ไม่เหมาะจะนั่งลงพูดคุย
หลิ่วเหมียนถังเห็นว่าวันนี้สามีสวมชุดสีขาวสะอาดสะอ้าน ไม่เหมาะจะอยู่ในร้านที่มีแต่กลิ่นควันกลิ่นน้ำมันฉุนจัดเช่นนี้ จึงเอ่ยปาก “ประเดี๋ยวข้าจะให้หลี่มามากลับบ้านไปทำอาหารก่อน ท่านพี่สามารถพาท่านหมอเทวดาจ้าวไปพักผ่อนที่บ้านก่อนได้นะเจ้าคะ”
ทว่าในใจท่านโหวจ้าวมุ่งหมายบางอย่างไว้ พอได้เห็นหลิ่วเหมียนถังเขาย่อมรู้สึกปวดใจเหมือนเห็นคนในครอบครัวตนเองอยู่บ้าง
เมื่อเห็นนางหันตัวกลับเข้าร้าน ถกกระโปรงขึ้นบันไดไปดึงกระดาษเคลือบน้ำมันเก่าบนผนังออกด้วยตนเอง จ้าวเฉวียนก็รีบพับแขนเสื้อแล้วกล่าวทันที “แม่นางหลิ่ว…เจ้าลงมาพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าทำให้เจ้าเอง”
พูดจบเขาก็ปีนขึ้นโต๊ะมาแย่งดึงกระดาษเคลือบน้ำมันออก เมื่อเห็นว่าขนาดท่านโหวยังขึ้นที่สูง บ่าวชายของเขาย่อมไม่อาจอยู่ว่างได้ เข้ามาช่วยด้วยเช่นกัน
ส่วนโม่หรูบ่าวชายของชุยสิงโจวย้ายเก้าอี้ตัวหนึ่งจากในร้านออกมาวางหน้าประตูให้ท่านอ๋องนั่งลง
ชุยสิงโจวไม่ได้นั่งลง แม้ยามนี้จะเป็นช่วงเช้า ภายในตรอกเองก็เงียบสงบไร้ผู้คน แต่หากเขานั่งลงไม่ใช่เป็นอุปสรรคต่อการใช้หลิ่วเหมียนถังล่อศัตรูหรอกหรือ
ทว่าเมื่อเขามองจ้าวเฉวียนที่ขยันขันแข็งผิดปกติก็นึกเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายขึ้นมา หลงเสน่ห์หลิ่วเหมียนถังเข้าแล้วจริงๆ ด้วย!
คิดถึงตรงนี้เขาก็พูดเสียงกร้าวขึ้น “สหาย ประเดี๋ยวจะไปงานแข่งหมากล้อมไม่ทันแล้ว”
ชุยสิงโจวพูดเสียงไม่ดัง แต่คนที่รู้จักเขาต่างรู้ว่าเขาเริ่มไม่พอใจ จ้าวเฉวียนถึงนึกได้ว่าวันนี้เขากับชุยสิงโจวออกมาในชุดลำลองเพราะต้องการไปพบตงซีจวีซื่อ* ที่มาพักอยู่ที่นี่
ตงซีจวีซื่อมีนิสัยแปลกประหลาด แต่ฝีมือการเดินหมากสูงส่ง อุตส่าห์เห็นแก่หน้าที่เป็นสหายของชุยสิงโจวยอมมาพบเขา ไม่อาจเสียเวลาได้จริงๆ
ดังนั้นจ้าวเฉวียนจึงรีบดึงกระดาษเคลือบน้ำมันออกอีกสองแผ่น จากนั้นส่งยิ้มขออภัยให้หลิ่วเหมียนถัง “วันนี้ติดธุระ ไว้วันหน้าจะต้องมาช่วยเจ้าแน่นอน”
หลิ่วเหมียนถังยิ้มพลางผูกผ้าโพกสีเขียวบนศีรษะแน่นขึ้น “ท่านหมอเทวดาเกรงใจเกินไปแล้ว งานหยาบกระด้างเช่นนี้จะรบกวนท่านได้อย่างไร”
จ้าวเฉวียนกระโดดลงจากโต๊ะ รับผ้าเปียกที่บ่าวยื่นมาให้พร้อมน้ำชา ก่อนเอ่ยอย่างจริงใจ “ข้ากับท่านเก้าสนิทกันดั่งพี่น้องแท้ๆ เจ้ากลับเอาแต่เรียก ‘ท่านหมอเทวดา’ ฟังดูเหินห่างนัก แค่เรียกนามข้า ‘จยาอวี๋’ ก็พอแล้ว”
หลิ่วเหมียนถังเผยยิ้ม แต่ไฉนเลยจะมีเหตุผลให้นางเรียกสกุลของสหายสามีโดยตรงเล่า ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนไปเอ่ยว่า “ดูท่าในชะตาชีวิตของท่านจ้าวจะขาดธาตุน้ำ ทั้งในนามและชื่อรองต่างสนับสนุนกันยิ่งนัก**”
จ้าวเฉวียนเองก็ยิ้มตาม รู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้ช่างจิตใจดีงาม ในชะตาชีวิตของเขาขาดความอ่อนโยนดุจสายน้ำ โฉมงามที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นเช่นนี้
หลังทั้งสองคนกลับไปขึ้นรถม้าจ้าวเฉวียนยังคงอาลัยอาวรณ์ หันกลับไปมองหญิงงามที่ยืนส่งสามีอยู่หน้าร้านอยู่บ่อยๆ
จนกระทั่งรถม้าเลี้ยวหัวมุมเขาถึงได้เก็บสายตากลับมาอย่างตัดใจไม่ได้
ชุยสิงโจวรู้สึกว่ามีความจำเป็นต้องตักเตือนสหายสนิทที่เดินทางผิด จึงเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านโหวใจดี แต่ไม่จำเป็นต้องดีมากเกินไป อย่าได้ลืมเป็นอันขาดว่าหญิงสาวผู้นั้นก็เป็นคนในครอบครัวโจรกบฏ ทันทีที่ยุ่งเกี่ยวจะต้องโดนลูกหลงด้วยแน่นอน”
จ้าวเฉวียนไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้ เขาถลึงตาใส่อีกฝ่ายเบาๆ “คนดีๆ ที่ถูกโจรลักพาตัวไปนับเป็นคนในครอบครัวโจรกบฏที่ใดกัน…รอเรื่องนี้จบก่อนเถิด ท่านอ๋องจะต้องตัดสินใจอย่างเป็นกลาง คืนความยุติธรรมให้แม่นางหลิ่วด้วยนะ!”
ชุยสิงโจวกลับรู้สึกว่าสหายสนิทอ่อนต่อโลก ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับอีกฝ่ายต่อไป จึงหยิบตำราที่วางไว้ด้านข้างขึ้นมาพลิกอ่านไปพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยนไปพลาง “บิดากับพี่น้องนางต่างมีความผิด ไม่มีบ้านให้กลับแล้ว ทั้งยังเสื่อมเสียชื่อเสียงไม่อาจอยู่ในสังคมได้ หากนางช่วยข้าสร้างความดีความชอบ ข้าก็จะตกรางวัลให้นาง แล้วส่งไปปลงผมบวชชีในอาราม ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุขแล้วกัน”
จ้าวเฉวียนถูกภรรยาเอกที่หลงใหลในพระธรรมทรมานอยู่ทุกวี่ทุกวัน ยามนี้เพียงได้ยินคำว่า ‘อาราม’ สองพยางค์ก็จะปวดหัว ไม่รู้เหมือนกันว่าชาติก่อนเขาติดหนี้อะไรพระพุทธองค์ไว้ ชาตินี้ดวงแต่งงานจึงมีอุปสรรคเช่นนี้
ข้าอุตส่าห์มีใจให้หญิงสาวสักคน แต่เจ้าชุยสิงโจวกลับตั้งใจส่งคนไปอยู่อารามเสียได้!