ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 7-บทที่ 9
บทที่ 9
เดิมตำราหมากล้อมที่หาได้ยากเล่มนี้ก็เป็นสิ่งที่สามารถพบเจอแต่ไม่อาจเรียกร้องได้ ชุยสิงโจวเองก็ไม่รู้ว่าจะหาตำราอีกครึ่งที่เหลือเจอ ทำให้ความปรารถนาตลอดชีวิตของตงซีจวีซื่อเป็นจริงได้หรือไม่
ชุยสิงโจวได้รับตำราหมากล้อมที่ต้องการมาก็นับว่าการเดินทางครั้งนี้สมปรารถนา หลังมอบชาชื่อดังจากภูเขาหลูซานที่พกติดตัวให้ตงซีจวีซื่อแล้วเขาก็ขอตัวลากลับ
อีกสองวันจะเป็นงานวันคล้ายวันเกิดของมารดา ช่วงนี้บรรดาญาติห่างๆ ของจวนอ๋องต่างทยอยกันมาที่จวนแล้ว เขาจำเป็นต้องกลับไปต้อนรับแขกและกินเลี้ยง
ดังนั้นหลังออกจากเรือนในเขตภูเขาของตงซีจวีซื่อ เขากับจ้าวเฉวียนก็ลงจากภูเขาไปเปลี่ยนเป็นรถม้าหรูหราแขวนป้ายจวนอ๋อง ออกเดินทางกลับจวนอ๋องด้วยกัน
ความจริงจวนไหวหยางอ๋องอยู่ไม่ไกลจากตำบลหลิงเฉวียน อยู่ที่เมืองเจินโจวซึ่งห่างกันเพียงแม่น้ำหนึ่งสาย
แม้งานวันคล้ายวันเกิดของชายาอ๋องผู้เฒ่าจะยังไม่เริ่มขึ้น ทั้งยามนี้ก็ดึกแล้ว แต่ด้านหน้าประตูจวนอ๋องยังคงมีรถม้ามาจอดหยุดกันอย่างคึกคัก
ในที่สุดท่านอ๋องก็กลับมาบ้าน ทุกคนภายในจวนต่างกระตุ้นความฮึกเหิมขึ้นมาอีกร้อยเท่า ออกมาต้อนรับท่านอ๋องกัน
และเรื่องแรกที่ชุยสิงโจวทำก็คือไปคารวะมารดา
เพราะรู้ว่าบุตรชายจะกลับมา ฉู่ไท่เฟย* ที่ปกติเข้านอนเร็วจึงยังนั่งอยู่ในห้องโถงโดยมีเหลียนปิ่งหลันกับมารดานางอยู่เป็นเพื่อน รอชุยสิงโจวมาคารวะด้วยกัน
ตอนที่ชุยสิงโจวในชุดเสื้อแขนกว้างสีฟ้าอ่อน รัดสายคาดเอวเดินอ้อมศาลาริมน้ำมาปรากฏตัวที่ลานด้านหน้า โคมไฟซึ่งแขวนอยู่สูงก็ส่องกระทบใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาจนเป็นประกายระยิบระยับ โครงหน้ายิ่งดูรูปงามกว่าเดิม
เหลียนปิ่งหลันมองดูว่าที่สามีของตนอย่างขวยเขิน เม้มปากน้อยๆ รอญาติผู้พี่เดินมาเงียบๆ
ทว่าชุยสิงโจวกลับไม่เสียสมาธิไปมองแต่อย่างใด แต่ไรมาเขาก็ไม่ได้สนใจมองญาติผู้น้องของเขาสักเท่าไร
ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่ได้สนิทกับญาติผู้น้องที่อายุห่างกันสี่ปีผู้นี้สักเท่าใด ต่อให้รอบข้างไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วย ความจริงเขาก็ไม่มีอะไรให้พูดกับญาติผู้น้องนัก
โชคดีที่หลักจรรยาระหว่างสามีภรรยาสำคัญที่ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เหมือนกับหลิ่วเหมียนถังผู้นั้น ขอเพียงเคารพนอบน้อมต่อสามี ต่อให้ไม่มีอะไรให้พูดก็สามารถอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขได้
ชุยสิงโจวไม่มีความสนใจต่อสายสัมพันธ์กลมเกลียวใกล้ชิดระหว่างสามีภรรยาอย่าง ‘คิ้วของข้าหนาบางไปหรือไม่’* เลยสักนิด แต่เข้าใจว่าความนอบน้อมของภรรยาเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง
ตรงจุดนี้คุณหนูตระกูลใหญ่อย่างเหลียนปิ่งหลันจะต้องทำได้ดียิ่งกว่าคุณหนูตกอับอย่างหลิ่วเหมียนถังแน่นอน
หลังคารวะมารดาแล้ว ฉู่ไท่เฟยก็เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ไม่ได้เจอเจ้าเสียนาน เหตุใดจึงดูผอมลงอีกแล้ว หากครั้งนี้ไม่ติดงานอะไรก็รั้งอยู่ในจวนอ๋องให้นานหน่อย จะได้ลิ้มรสฝีมือทำอาหารของปิ่งหลันด้วย น้ำแกงบำรุงที่นางต้มให้ข้าดีต่อร่างกายอย่างมาก”
เหลียนปิ่งหลันได้ยินท่านป้าฉู่ซื่อเอ่ยชมนางจึงยิ้มตอบเสียงอ่อนหวาน “เพราะไท่เฟยไม่รังเกียจฝีมือเงอะงะของปิ่งหลันต่างหากล่ะเจ้าคะ ข้ารู้ฝีมือทำอาหารของตนเองดี ไฉนเลยจะกล้าแสดงฝีมืออัปลักษณ์ต่อหน้าญาติผู้พี่ได้”
ฉู่ไท่เฟยเห็นเหลียนปิ่งหลันถ่อมตนจึงยิ้มพลางเอ่ยกับน้องสาวเหลียนฉู่ซื่อ มารดาของเหลียนปิ่งหลันซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ “เจ้าดูสิ ไยปิ่งหลันถึงได้ถ่อมตนเพียงนี้ นิสัยไม่เหมือนเจ้าสักนิดเดียว!”
ฉู่ไท่เฟยพูดความจริง เหลียนฉู่ซื่อน้องสาวของนางผู้นี้ตอนอยู่บ้านเดิม ไม่ว่าเรื่องใดก็ฝีปากจัดจ้าน จะต้องแก่งแย่งสิ่งที่ดีที่สุดมาเสมอ ต่อให้ภายหลังแต่งงานมีลูกแล้วก็ไม่เห็นว่าจะดีขึ้น แต่เหลียนปิ่งหลัน บุตรสาวของน้องสาวกลับเป็นคุณหนูอ่อนหวานสง่างาม เหมาะสมกับชุยสิงโจวบุตรชายนางอย่างยิ่ง
ชุยสิงโจวไม่ได้กลับบ้านมานาน หลังคารวะมารดาเสร็จจึงนั่งอยู่พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับมารดาและท่านน้าต่อ
หลังเหลียนฉู่ซื่ออมยิ้มสนทนาเรื่องอื่นสั้นๆ จู่ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อมายิ้มแย้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่ สิงโจวใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกเป็นส่วนใหญ่ ข้างกายไม่มีสาวใช้ที่เอาใจใส่ นานวันเข้าจะไม่ดีเอาได้ กำหนดการแต่งงานของเขากับปิ่งหลันยังเหลืออีกหนึ่งปี มิสู้ให้เหลียนเซียงสาวใช้ข้างกายปิ่งหลันไปปรนนิบัติข้างกายท่านอ๋องก่อน อย่างน้อยจะได้ดูแลความเป็นอยู่ได้กระมัง”
ลูกไม้คุณหนูยังไม่มาสาวใช้นำมาก่อนประเภทนี้ออกจะอยู่เหนือความคาดหมายของผู้คนจริงๆ ฟังดูแล้วเจตนาของท่านน้าเหลียนฉู่ซื่อคือต้องการส่งเหลียนเซียงมาเป็นสาวใช้ห้องข้างของชุยสิงโจวก่อน
ฉู่ไท่เฟยอดมองไปทางเหลียนปิ่งหลันที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่ได้ นางคล้ายไม่ได้มีสีหน้าตกใจ แค่ก้มหน้าน้อยๆ ไม่พูดอะไร จากนั้นฉู่ไท่เฟยก็มองไปทางเหลียนเซียงต่อ
รูปโฉมของสาวใช้ผู้นี้นับว่าใช้ได้ แต่ยังคงด้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเหลียนปิ่งหลัน ดูแล้วไม่เหมือนพวกมารยาสาไถย…
ตอนนั้นชุยสิงโจวกลับเอ่ยปากขึ้นว่า “ข้าไปอยู่ที่ค่ายทหารบ่อยๆ พาสาวใช้ไปด้วยไม่สะดวก บ่าวชายข้างกายก็รอบคอบมากพอแล้ว ท่านน้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงข้า”
หลังได้ยินท่านอ๋องเอ่ยปฏิเสธอ้อมๆ เหลียนฉู่ซื่อกลับยังไม่ยอมแพ้ “เหลียนเซียงไม่ใช่บ่าวรับใช้ที่เลี้ยงดูในเรือนใหญ่จนปวกเปียกทำตัวเป็นนาย ท่านอ๋องเรียกใช้ให้เต็มที่ก็พอ วันหน้าพอท่านกับปิ่งหลันแต่งงานกัน นางเองก็ปรนนิบัติจนมีกฎเกณฑ์แล้ว คอยช่วยเหลือปิ่งหลันดูแลชีวิตประจำวันของท่านได้พอดีมิใช่หรือ”
ฉู่ไท่เฟยหูเบา เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ดังนั้นจึงเอ่ยกล่อมบุตรชายด้วยเช่นกัน “ในเมื่อเป็นความปรารถนาดีของท่านน้าเจ้า เจ้าก็รับปากเสียเถอะ”
แต่ชุยสิงโจวไม่ได้มีท่าทีว่าจะยอมรับปาก แค่ยกถ้วยชาขึ้นมาปาดฝาถ้วยเบาๆ ก่อนเอ่ยเปลี่ยนหัวข้อไปคล้ายไม่เจตนา “เมื่อไม่กี่วันก่อนพลทหารผู้ใต้บังคับบัญชาของข้ามาบอกว่าเห็นบ่าวรับใช้ของท่านน้าเหลียนที่ตำบลหลิงเฉวียน คิดว่าคงไปเลือกซื้อเครื่องเคลือบดินเผา ได้ซื้อที่ถูกใจกลับมาหรือไม่ อยากให้ข้าช่วยเลือกซื้อแทนหรือไม่”
เหลียนฉู่ซื่ออึ้งงันไปเล็กน้อย ตอนที่กำลังจะเอ่ยปากดึงกลับเข้าประเด็นเดิม เหลียนปิ่งหลันกลับเอ่ยเสียงอ่อนหวานแทรกขึ้นมา “ท่านแม่คิดมากไปแล้ว ต่อให้ญาติผู้พี่ต้องการหาสาวใช้ ภายในจวนก็มีคนที่คล่องแคล่วอยู่มากมาย พวกนางต่างเป็นคนที่ไท่เฟยสั่งสอนด้วยตนเอง การทำงานกับความละเอียดอ่อนจะใช่สิ่งที่คนใจร้อนอย่างเหลียนเซียงสู้ได้อย่างไร”
พูดจบนางก็เอ่ยเสียงหวานเรื่องที่เมื่อวานไปกินเจที่วัดเป็นเพื่อนไท่เฟยขึ้นมาต่อ เมื่อพูดถึงเรื่องขบขันก็ทำเอาฉู่ไท่เฟยหัวเราะจนอ้าปากกว้าง ส่วนเรื่องยกสาวใช้ให้ชุยสิงโจวก็ผ่านไปทั้งอย่างนี้
รอชุยสิงโจวลุกขึ้นขอตัวลามารดากลับไปที่เรือนหนังสือ เหลียนฉู่ซื่อเองก็พาบุตรสาวลากลับไปยังเรือนพักแขกของเหลียนปิ่งหลันเช่นกัน
หลังเข้าไปในห้อง รอบข้างไม่มีคนนอกอีก เหลียนฉู่ซื่อก็หน้านิ่ว ถลึงตาเอ่ยกับบุตรสาวทันที “ไม่ใช่ตกลงกันว่าจะส่งเหลียนเซียงไปอยู่ข้างกายสิงโจวก่อนหรอกหรือ จะได้รู้ว่าสถานการณ์ทางนั้นเป็นอย่างไร อุตส่าห์พูดให้พี่สาวข้ายอมได้แล้ว เหตุใดตอนหลังเจ้าถึงขัดขวางอีก”
เรื่องนี้ยิ่งพูดเพลิงโทสะก็ยิ่งรุกรานหัวใจ เหลียนฉู่ซื่อพูดกับบุตรสาวต่อด้วยความกังวลเต็มอก “สวรรค์! นี่มันลูกรับสืบทอดนิสัยบิดาโดยแท้ เรื่องเหลวไหลในจวนอ๋องมีมาไม่เคยหยุดหย่อน! ตอนนั้นข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านอ๋องผู้เฒ่าชุยเซี่ยมีนิสัยเจ้าชู้ถึงได้ไม่ยอมแต่ง ทำเอาบิดามารดาไร้หนทางได้แต่ให้ข้าแลกหนังสือหมั้นหมายกับพี่สาว ให้นางแต่งกับชุยเซี่ย แล้วให้ข้าแต่งกับบิดาเจ้าแทน เจ้าดูท่านป้าเจ้าสิ ถ้าไม่ใช่มีบ้านเดิมคอยปกป้องก็คงถูกพวกนางจิ้งจอกเหล่านั้นจิกทึ้งกินไปนานแล้ว ไฉนเลยจะมีชีวิตไท่เฟยอย่างสงบสุขเฉกเช่นทุกวันนี้ ปัญหาทุกข์ใจของนางในตอนนั้น เทียบกับชีวิตสงบสุขสบายใจของจวนพวกเราไม่ได้แม้แต่น้อย…ถ้าเจ้าไม่ระวังตัวเอาไว้ ระวังจะเดินตามรอยท่านป้าเจ้า ถึงเวลานั้นตำแหน่งขุนนางไม่สูงไม่ต่ำของบิดาเจ้าก็ไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้หรอกนะ!”
ได้ยินคำเยินยอตนเองของมารดา เหลียนปิ่งหลันผู้มีท่าทีอ่อนโยนต่อหน้าผู้อื่นเสมอพลันมองเหยียดเหลียนฉู่ซื่อไปหนหนึ่งอย่างไม่ยี่หระ