ซ่อนแผนร้ายชิงบัลลังก์รัก
ทดลองอ่าน ซ่อนแผนร้ายชิงบัลลังก์รัก บทที่ 139-140
ความรู้สึกเฉื่อยเนือยของคนแก่ประเภทนี้เขาสัมผัสได้ทุกวันตอนตื่น บรรดาสนมนางในแต่ละคนที่เพิ่งรับมาล้วนมีเสน่ห์เย้ายวน ผิวกายอ่อนนุ่มราวกับนมแพะจับตัวเป็นก้อน ชวนให้คนอยากขบกัดอย่างห้ามไม่ได้ กลิ่นอายอ่อนหวานมีเสน่ห์ที่แผ่กำจายเชื้อเชิญให้เขานอนฟุบอยู่บนเรือนร่างอบอุ่นนั้นแล้วไม่อยากลุกขึ้นมา
สมัยก่อนตอนที่เขายังเป็นแม่ทัพรักษาการณ์ของซินเหยี่ยคนหนึ่ง เวลาวางแผนใช้จ่ายเงินทองในครอบครัวที่มีอยู่ไม่มากก็มักจะเกิดความรู้สึกสะทกสะท้อนใจเช่นนี้…ในฐานะฮ่องเต้ที่สูงศักดิ์ที่สุดในโลกมนุษย์ หากได้ชื่นชมทุกสิ่งอันอัศจรรย์ในโลก ลิ้มรสสตรีงามเต็มคราบ จะเป็นความสาแก่ใจมากเพียงใด
แต่ทุกวันนี้เมื่อได้เป็นฮ่องเต้ราชวงศ์หนึ่ง กลับพบว่าตำแหน่งฮ่องเต้นี้ยังคงได้รับมาช้าเกินไป…
หากเป็นสมัยอายุน้อย ต่อให้เขาเริงรักกับสตรีห้าคนในราตรีเดียวก็คงไม่เป็นปัญหา แต่ตอนนี้สตรีสามพันคนในตำหนักในต่างรอเขาโปรยฝนพรำอย่างทั่วถึง หยาดฝนกลับเหลืออยู่ไม่มากแล้ว…ทุกครั้งในเวลานี้เขาจะหวาดกลัวขึ้นมาอย่างลึกล้ำ ความรุ่งโรจน์บนโลก สตรีงามในใต้หล้า เขาจะยังเพลิดเพลินได้อีกนานเพียงใด
ทุกครั้งเวลารู้สึกว่าตนเองเป็นวีรบุรุษไร้กำลัง แล้วมองดูบุตรชายที่อายุน้อยแข็งแรงตรงหน้าอีกที เขาจะเกิดอิจฉาอย่างยากจะควบคุม…นึกไม่ถึงว่าจะพลาดช่วงวัยที่ดีอย่างอีกฝ่ายไป…
รอยยิ้มมุมปากของฮ่องเต้ฉีตี้จางลงเล็กน้อย ความคิดที่วาบผ่านในชั่วพริบตาไม่มีค่าพอจะพูดให้คนนอกฟัง ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแก่ลง นอกเสียจากว่าจะกลายเป็นเทพเซียน มิฉะนั้นก็ไม่มีทางแก้ไขเรื่องนี้ได้
เขาเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ “กระบะทรายนี้ดูแล้วประณีตมาก ข้าจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อก่อนเคยเห็นคนใช้กระบะทรายแบบนี้ ตอนนั้นก็รู้สึกเหมือนได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่ คล้ายจะเป็น…อ้อ จริงด้วย เหมือนกับของที่อยู่ในกระโจมแม่ทัพอวี้ฉือเต๋อของราชวงศ์ก่อน แต่ว่ากระบะทรายนี้เรียกว่าอลังการกว่าของแม่ทัพอวี้ฉือด้วยซ้ำ…”
เซียวอ๋องรู้ว่าไม่อาจปิดบังบิดา จึงรีบเอ่ย “กระบะนี้มีชายารองอวี้ฉือซื่อของลูกช่วยทำขึ้นมาโดยอิงตามแผนที่ภูมิประเทศที่ลูกวาด นางทำงานฝีมือเก่ง ทั้งยังเคยเห็นแม่ทัพอวี้ฉือสร้างกระบะทราย รวมกับที่นางพอมีความคิดด้านงานไม้งานกลไกอยู่บ้าง เลยมาแสดงฝีมืออัปลักษณ์ต่อหน้าเสด็จพ่อแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮั่วอวิ่นภูมิใจกับความตาแหลมของตนเองอย่างมาก จึงหัวเราะเสียงดังเอ่ย “นึกไม่ถึงว่าจะเป็นนาง แต่เรื่องนี้เองก็มิแปลก ในเมื่อนางก็เป็นศิษย์คนเก่งของปรมาจารย์หวงเชียนจี สร้างกระบะทรายสักใบนับว่าง่ายดาย…ดูท่าชายารองที่ข้ามอบสมรสให้เจ้าจะดีเยี่ยมมากเลยนี่!”
พูดถึงตรงนี้แล้วเปลี่ยนหัวข้ออีกครั้ง “แต่ว่า…ต่อให้ดีเยี่ยมมากกว่านี้ก็เป็นได้เพียงชายารองคนหนึ่ง เจ้าเป็นถึงองค์ชายแห่งต้าฉี หากไม่อาจแต่งภรรยาเอก ทั้งยังต้องยกอนุคนหนึ่งขึ้นมาแทน เรียกว่าชวนให้คนหัวร่อขบขันชัดๆ! แม้แต่พวกคหบดีบ้านนอกขอแค่ครอบครัวไม่ได้ตกอับ พอภรรยาเอกเสียชีวิตแล้วก็จะเลือกแต่งงานใหม่จากครอบครัวดีๆ อีกครั้งอยู่ดี จงจำไว้! ภรรยาคือภรรยา อนุคืออนุ ห้ามละเมิดหลักจารีตเด็ดขาด! ไม่ว่าจะที่ใดล้วนไม่มีเหตุผลให้เลือกยกอนุขึ้นมาเติมตำแหน่งภรรยาให้ครบๆ!”
พูดถึงตรงนี้สีหน้าของฮั่วอวิ่นเข้มงวดขึ้นอีกครั้ง “เจ้ารอง ผู้ที่จะสำเร็จการใหญ่ต้องไม่สนใจเรื่องเล็ก ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นองค์ชายสกุลฮั่ว อย่าได้เลียนแบบกลิ่นอายครอบครัวเล็กๆ บ้านนอกอย่างบิดาบุญธรรมเจ้า…จะต้องหัดพิจารณาถึงความอุดมสมบูรณ์ของเรือนหลังเพื่อบ้านเมือง แต่งสตรีตระกูลสูงศักดิ์เข้าจวน เชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลที่มีชื่อเสียง นี่ถึงจะเป็นหลักการสร้างครอบครัว ใต้หล้าสงบสุขที่ถูกต้อง ตรงจุดนี้เจ้ายังสู้พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ได้เลย!”
ประโยคนี้เซียวอ๋องฟังเข้าใจทุกคำแล้ว ในสายตาของบิดา ความรักครองคู่สองคนหนึ่งเดียวตลอดชีวิตของบิดามารดาบุญธรรมคือความคร่ำครึไม่สนใจความเหมาะสมของราชสำนักจริงๆ อีกทั้งบรรดาภรรยาและอนุที่มีชื่ออยู่ในจวนของรัชทายาทแต่ละคนต่างมาจากตระกูลมีชื่อเสียง เรียกได้ว่าแต่งตระกูลมีเกียรติของต้าฉีเข้ามาจนหมด…
เซียวอ๋องไม่ได้เถียงกลับ แต่ก้มหน้าลงเอ่ย “เสด็จพ่อทรงสั่งสอนถูกต้องแล้ว ลูกทำให้เสด็จพ่อทรงเป็นห่วง สมควรตายนับหมื่นครั้ง!”
เมื่อเซียวอ๋องออกจากวังหลวง บนใบหน้าเขาปราศจากความสุขุมตามปกติ กลับยังแฝงรอยยิ้มสบายใจน้อยๆ นี่เป็นสีหน้าสุขสมหวังที่สมปรารถนา สามารถตอบแทนผืนแผ่นดินได้ เซียวอ๋องนับว่าแสดงออกมาอย่างเหมาะสม
แต่หลังจากออกจากวังหลวงขึ้นรถม้าแล้ว สีหน้าของเซียวอ๋องอึมครึมลง ความจริงในใจแทบอยากเดินทางกลับไหวหนานทันที
ครั้งนี้บิดามอบเวลาให้เขากระชั้นชิดมาก หลังจากเขารีบร้อนเดินทางกลับไหวหนาน มีเวลาพักอยู่แค่ไม่กี่วันก็ต้องนำแม่ทัพที่ใช้การได้มุ่งหน้าสู่ชายแดนเหนือแล้ว
บิดาเองออกจะเชื่อมั่นในความสามารถสร้างตัวมือเปล่าของเขามากเกินไปแล้ว หมายจับเสือมือเปล่าอีกครั้ง โดยให้เขามุ่งหน้าไปชายแดนเหนือตัวเปล่า รับช่วงต่อกองทัพที่วุ่นวายโกลาหลยิ่งกว่าพรรคกระยาจก ค่อยๆ เข้าควบคุมกำลังพลเก่าของฝานจิ่งกับชนเผ่าต่างๆ ที่ยอมศิโรราบ
เพียงแต่ว่างานครั้งนี้จัดการได้ยากเสียยิ่งกว่าที่ไหวหนาน แม้แต่ช่วงเวลาเตรียมตัวยังกระชั้นชิดอย่างมาก
เซียวอ๋องตระหนักดีว่าบิดาจงใจวางแผนเช่นนี้ เพื่อไม่ให้เขามีเวลาเตรียมแผนสำรองอะไรทิ้งไว้ที่ไหวหนาน จะได้ให้ทูตพิเศษของราชสำนักมารับช่วงต่อไหวหนานที่ใสสะอาดปราศจากอำนาจของเขาหลงเหลือ
ถ้าหากเดินทางตรงไปจากเมืองหลวง เวลาจะยังพอเหลือเฟือ ไม่จำเป็นต้องเร่งเดินทางเหน็ดเหนื่อยเกินไป แต่ถ้าไม่อาจบอกลากับเยี่ยนเอ๋อร์ จากลากันครั้งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงได้พบกันอีก
ทั่วทุกพื้นที่ของชายแดนเหนือคือสนามรบ ในฐานะผู้บัญชาการหลักยิ่งไม่มีเหตุผลให้พาสมาชิกครอบครัวเดินทางไปด้วย ดังนั้นครั้งนี้เขาจะต้องทิ้งอวี้ฉือเฟยเยี่ยนไว้ที่ไหวหนาน เช่นนี้นางก็ไม่ต้องกลับไปฟังคำบ่นของมารดาที่เมืองหลวง…เพียงแต่ก็ต้องอยู่แยกห่างกันไกลโพ้น แค่ลองคิดดูเขาก็รู้สึกตัดใจไม่ลงอย่างรุนแรง การบอกลากำลังจะมาถึง เขาจะไม่รีบเดินทางกลับไหวหนาน แล้วตระกองกอดเรือนกายอ่อนนุ่มอบอุ่นได้อย่างไร
วันรุ่งขึ้นภายในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ฉีตี้ได้รับรายงานลับ บอกว่าหลังจากเซียวอ๋องออกจากวังหลวงก็เดินทางออกจากเมืองหลวงย้อนกลับไหวหนานทันทีในคืนนั้น ไม่ได้รั้งอยู่ที่เมืองหลวงสักวันเดียว รวมถึงไม่ได้พบหน้าขุนนางคนใดด้วย ฮ่องเต้ฉีตี้อ่านสารลับแล้วผงกศีรษะน้อยๆ จากนั้นส่ายหน้าต่อ
เขาเดาสาเหตุที่เจ้ารองกลับไปได้ ถึงแม้จะสบายใจขึ้นเล็กน้อย ทว่าก็ยังเกิดสภาพจิตใจของบิดาผู้เข้มงวดที่ชิงชังกับความไม่ได้เรื่องของลูกขึ้นมาอีก “ชายชาตรีอกสามศอกกลับลุ่มหลงความรักชายหญิง ปล่อยให้สตรีนางหนึ่งปั่นหัวจนกลายเป็นเช่นนี้!”
สีหน้าฮั่วอวิ่นเย็นชาลง สายตาเคลื่อนไปทางฎีกาที่อยู่ด้านข้างแล้วหยิบขึ้นมาอย่างจริงจัง…
ขณะที่ทางเซียวอ๋องซึ่งควบม้าเร็วอย่างไม่สนใจกำลังกายและพลังม้าตลอดทาง ในที่สุดหลังจากเดินทางทั้งวันทั้งคืนก็กลับถึงเมืองต้าฝู่แห่งไหวหนาน
สองสามวันมานี้องค์หญิงเล่อผิงตามราชบุตรเขยออกจากจวนเซียวอ๋องไปแล้ว ทุกวันอวี้ฉือเฟยเยี่ยนจึงไปตกปลา ชมบุปผาเป็นเพื่อนองค์หญิงอันชิ่ง ใช้ชีวิตอย่างสบายใจมาก เพียงแต่ทุกครั้งที่ถึงยามวิกาล อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจะรู้สึกอึดอัดไม่ค่อยคุ้นชิน เพราะเซียวอ๋องไม่อยู่นางจึงยิ่งคิดถึงเซียวอ๋องมากกว่าเดิม
ตอนเย็นวันนี้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนอ่านตำราอยู่สักพักก็บอกเป่าจูว่าจะเข้านอน ระหว่างกำลังสะลึมสะลือไม่รู้นอนหลับไปนานเพียงใด พลันสัมผัสได้ว่าร่างกายถูกกอดกระชับแน่น มีร่างที่ร้อนผ่าวกดทับแนบสนิทลงบนร่างตนเอง
Comments
