บทที่ 140
ในความมืดอวี้ฉือเฟยเยี่ยนหัวใจบีบรัดแน่น แต่ต่อมาก็ได้กลิ่นคุ้นเคยบนร่างของอีกฝ่าย นางสบายใจพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะทันที “ทรงขี่ม้ามานานแค่ไหนกันเพคะ กลิ่นกายแทบรมคนตายได้อยู่แล้ว…”
เซียวอ๋องเลิกมุ้งขึ้นเล็กน้อย ยืมแสงเทียนอ่อนสลัวมองคนในดวงใจที่ไม่พบหน้ามาหลายวันอย่างละโมบ ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ข้ารีบร้อนมาพบเจ้าเพียงนี้ เจ้ากลับกล้ารังเกียจข้า เช่นนั้นจะต้องรักถนอมเยี่ยนเอ๋อร์ทั้งที่ตัวร้อนผ่าวเช่นนี้สักพักแล้ว…” พูดจบแล้วเขาก็ทาบริมฝีปากลงไปอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธ
ถึงแม้ปากอวี้ฉือเฟยเยี่ยนจะเอ่ย ‘รังเกียจ’ นางกลับตอบสนองต่อริมฝีปากกับลิ้นของเซียวอ๋องอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ไปนานแล้ว นางย่อมตระหนักเช่นกันว่าเซียวอ๋องเดินทางไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กลับมา ตนเองยังติดที่มีฐานะเป็นสตรีเรือนหลังไม่อาจร่วมทางไปด้วย วันบอกลากำลังใกล้เข้ามา ในใจเองก็รู้สึกตัดใจไม่ได้อย่างยิ่ง ได้แต่กระชับท่อนแขนเรียวโอบกอดบุรุษกำยำผู้นี้ จารจดกลิ่นอายทุกอณูของเขา เก็บเกี่ยวทุกความอบอุ่นของจุมพิตเร่าร้อนอย่างละโมบ
สุดท้ายนางก็พลิกร่างขึ้นนั่งบนตัวเซียวอ๋อง เซียวอ๋องอมยิ้มมองสตรีแน่งน้อยผู้นี้ที่มีสภาพเรือนผมดำดกแผ่สยาย นัยน์ตาเปี่ยมความรู้สึกแล้ว แววตาเขาก็ดุดันขึ้น ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงน้อยๆ หลายครั้งพร้อมกับเอ่ยเสียงแหบ “เยี่ยนเอ๋อร์ของข้ามีท่าทีของแม่ทัพหญิงอยู่หลายส่วนจริงๆ ท่าขี่ม้าต้านศัตรูช่างดูไร้เทียมทานนัก!”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนก้มตัวลงวางสองมือค้ำข้างศีรษะของเซียวอ๋องพลางเอ่ย “ข้าจะชนะศึกนี้ได้หรือไม่ ยังต้องรอดูว่าม้าอย่างพระองค์แข็งแรงดีหรือไม่แล้ว”
ถ้อยคำนี้กระซิบแผ่วเบาจากปลายลิ้น ทั้งยังจงใจเอ่ยขึ้นข้างหูของเขา ความเย้ายวนในน้ำเสียงอ่อนโยนช่างชวนให้คนไม่อาจทนไหว
แม่นางน้อยน่าตายผู้นี้ไปเรียนรู้วิชายั่วยุคนมาจากที่ใด กลับเอาแต่เรียนรู้เรื่องไม่ดีบนเตียงมากขึ้นทุกวัน! ชั่วขณะนี้เซียวอ๋องหลงลืมไปเสียสนิทว่าตนเองก็คือ ‘อาจารย์คนแรก’ ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้เยี่ยนเอ๋อร์!
เวลานั้นเสียงเตียงโยกคลอนเอี๊ยดอ๊าดอย่างรุนแรงก็ดังผสานกับเสียงหอบครางแว่วหวานที่ชวนให้คนรอบข้างอับอายหน้าร้อน!
วันรุ่งขึ้นฟ้าเพิ่งสว่างเรืองรอง เซียวอ๋องที่ควบม้าห้อตะบึงมาครึ่งคืนถึงประทับจุมพิตลงบนหน้าผากของสตรีที่นอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดอย่างอาลัยอาวรณ์ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
ช่วงเวลาครึ่งคืนที่ผ่านมานี้มีไว้พิสูจน์ว่าตนเองเป็นม้าวิ่งพันหลี่ที่สามารถฝากความเป็นความตายเอาไว้ได้ ถึงจะปราศจากคำรักหวานซึ้งระหว่างสามีภรรยา เพียงแต่หากให้พูดในสิ่งที่คิดออกมากลับยากจะเอื้อนเอ่ยปากอยู่บ้าง จึงทำได้เพียงกอดกระชับแน่น จดจำผิวกายอบอุ่นเปียกชื้นนั้นเอาไว้…
หลังจากแต่งกายเรียบร้อย ไม่ทันจะล้างหน้าล้างตาก็หันมามองหญิงสาวที่ซุกหน้านอนหลับอยู่บนหมอนอีกครั้งอย่างอาวรณ์ ก่อนจุมพิตหน้าผากมนเกลี้ยงเกลา ไล่มาถึงปลายจมูกโด่งรั้นเบาๆ ถึงได้ยืดตัวขึ้นเดินออกไปเงียบๆ
ประเดี๋ยวเขายังต้องไปที่ค่ายทหาร เลือกทหารที่ใช้การได้พาไปยังทะเลทรายเหนือด้วย รวมถึงมีเรื่องราวจิปาถะอีกมากที่จะต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง…เขาเพิ่งได้รับรายงานจากสายลับระหว่างเดินทางกลับมาว่าคนที่มารับช่วงต่อไหวหนานกลับเป็นหวังอวี้หล่าง!
แต่ละครั้งที่เขาเข้าเมืองหลวงไปเข้าเฝ้ามักจะคลาดกับน้องเขยผู้นี้เสมอ นับดูแล้วก็ไม่เคยพบหน้ากันมานาน ราชบุตรเขยในความทรงจำผู้นั้นยังเป็นคนไร้ค่าที่สำลักฤทธิ์สุราแรงอย่าง ‘ล้มลา’ จนน้ำหูน้ำตาไหลอยู่ในวังหลวง…
แต่หลังจากเขาเดินทางออกจากเมืองหลวงมาไหวหนาน กลับได้ยินว่าดวงชะตาขุนนางของน้องเขยคนนี้นับว่ามั่นคง ทำงานสุขุมและไม่ละโมบในความดีความชอบ เป็นผู้มีประสบการณ์ในหมู่คนหนุ่มที่หาได้ยาก ทั้งได้รับความโปรดปรานจากบิดาอย่างมาก
ส่งหวังอวี้หล่างมาที่นี่ดีกว่าให้คนของสกุลเสิ่นมารับช่วงต่อเนื้อติดมันพร้อมปรุงก้อนนี้จริงๆ…
เพียงแต่…ไม่รู้เหตุใด ขอแค่เซียวอ๋องคิดว่าสตรีของตนเองอยู่ในถิ่นของอดีตคู่หมั้นนาง ภายในใจก็จะรู้สึกอึดอัดคับข้องอย่างยิ่ง