บทที่ 141
หลังจากองค์หญิงเล่อผิงออกไปจากจวน จวนเซียวอ๋องถึงกลับคืนสู่วันเวลาสงบสุขในที่สุด นอกจากความคิดถึงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างมีความสุข นางมีเวลาอ่านตำรา ได้เที่ยวเล่นเป็นเพื่อนองค์หญิงน้อยอันชิ่ง บางครั้งยังเข้าครัวทำอาหารพิถีพิถันบางอย่าง
แต่เมื่อล่วงเข้าสู่ยามราตรีที่นอนไม่หลับ นางก็จะเดินไปยังห้องหนังสือของเซียวอ๋องตามลำพัง เหม่อมองกระบะทรายใบเล็กฝีมือตนเองอีกใบ นางร้างราจากสนามรบมานานแล้ว แต่ภาพธงโบกสะบัด เสียงกลองรบกลับไม่เคยเลือนหายจากความฝัน
ตอนนี้เซียวอ๋องน่าจะเดินทางถึงค่ายใหญ่ที่ชายแดนเหนือแล้ว ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่ค่ายแนวหน้าเป็นอย่างไรบ้าง ทางด้านองค์หญิงอาอวี่ไม่มีทางยอมส่งมอบอำนาจให้แน่นอน เขาจะเจอกับอุปสรรคอย่างไรบ้างนะ
เมื่อพลิกตัวกระสับกระส่ายเช่นนี้ ทุกเวลากลางวันนางจึงมีสภาพเฉื่อยเนือยอยู่บ้าง
เป่าจูมองดูอยู่ด้านข้างจนร้อนใจ เอ่ยกล่อมอวี้ฉือเฟยเยี่ยนว่า “ตอนกลางคืนชายารองอย่าลุกขึ้นมาอีกเลยเจ้าค่ะ การอดนอนทำร้ายเลือดลมมากที่สุด หากเอาแต่เป็นเช่นนี้ รอองค์ชายรองเสด็จกลับมาเมื่อไร ท่านจะป่วยเอาได้”
แต่เมื่อเข้าสู่ยามวิกาล ตอนที่นอนเฝ้าเตียงว่างเปล่าตามลำพังอวี้ฉือเฟยเยี่ยนกลับยังนอนไม่หลับ ตอนบ่ายวันนี้อุตส่าห์อ่าน ‘บันทึกทะเลทรายเหนือเมืองต่างถิ่น’ สักพักแล้วเริ่มง่วงงุนขึ้นมา แต่ปิดตาลงยังไม่ทันนอนหลับเต็มอิ่มก็ได้ยินคนมาแจ้งว่าองค์หญิงเล่อผิงแวะมาที่จวน
หลังจากองค์หญิงเล่อผิงไปอยู่จวนราชบุตรเขยก็ไม่เคยแวะมาอีก ไม่รู้เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงทำตัวผิดปกติมาเยือนจวนเซียวอ๋องอย่างกระตือรือร้น บอกว่าคิดถึงองค์หญิงอันชิ่งน้องสาวตนเอง
องค์หญิงอันชิ่งได้ยินว่าพี่สาวแวะมาเยี่ยมตนเองก็ดีใจ รีบเดินไปพบพี่สาวที่ห้องรับแขก
องค์หญิงเล่อผิงมองนางครู่เดียวก็โบกมือ บอกให้นางไปเล่นกับหมัวมัว ก่อนคุยกับอวี้ฉือเฟยเยี่ยนต่อ
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นท่าทางผิดหวังขององค์หญิงอันชิ่งก็รู้สึกทนไม่ได้ เรียกเป่าจูมาพาองค์หญิงอันชิ่งไปชมบุปผาที่สวนด้านหลัง
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นองค์หญิงเล่อผิงที่หน้าท้องกลมโตขึ้นเรื่อยๆ สีหน้ายังคงหยิ่งยโสก็รู้สึกอิดหนาระอาใจอยู่บ้าง เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยชักสีหน้าใส่องค์หญิงผู้นี้แล้ว จึงถามเสียงเรียบอย่างไม่เกรงใจ “องค์หญิงทรงพบหน้าองค์หญิงอันชิ่งแล้ว ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่”
องค์หญิงเล่อผิงคล้ายฟังออกถึงเจตนาขับไล่ ทว่าเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “งานมงคลของพี่รองกำลังใกล้มาถึง ข้าเลยแวะมาแสดงความยินดีกับพี่รอง”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนได้ยินคำว่า ‘งานมงคล’ ทั้งยังเห็นรอยยิ้มมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นขององค์หญิงเล่อผิง หัวใจก็บีบรัดแน่น แสร้งทำเป็นถามอย่างไม่สนใจ “อ้อ พี่รองของพระองค์ทรงมีงานมงคลอะไรหรือ”
องค์หญิงเล่อผิงยิ้มเอ่ย “หากข้าพูดแล้วมิใช่จะขาดความตกใจระคนยินดีตอนงานมงคลมาเยือนหรือ…ว่าไปแล้วก่อนหน้านี้ที่ข้าเสนอเรื่องรับเลี้ยงบุตรในนามเองก็เป็นความปรารถนาดี เข้ามาอยู่จวนพี่รองข้านานเพียงนี้กลับออกไข่ไม่ได้สักฟอง…เจ้าบอกมาเองสิว่าเรื่องนี้ใช้ได้หรือ ก็ไม่แปลกที่…วันหน้าเจ้าดูแลตนเองดีๆ แล้วกัน อย่าโทษว่าข้าไม่ได้ตักเตือน วิชาแมวสามขา* รำกระบี่เล็กๆ น้อยๆ ของเจ้า วันหน้าไม่ต้องอวดเก่งต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ตนเองขายขี้หน้าแล้ว!”
พูดจบองค์หญิงเล่อผิงก็คลี่ยิ้มมีเลศนัย แล้วลุกขึ้นเดินท้องโตอุ้ยอ้ายจากไป
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนนั่งใคร่ครวญอยู่สักพัก ไม่รู้เหตุใดหัวใจจึงหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ…
สิบวันผ่านไป ขบวนรถม้าภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์วังหลวงแล่นเข้ามาในเมืองต้าฝู่ ก่อนมาหยุดที่หน้าประตูจวนเซียวอ๋อง
รถม้ากับองครักษ์วังหลวงจำนวนมากเพียงนี้มาอยู่ที่หน้าประตู ขวางหน้าประตูใหญ่ของจวนเซียวอ๋องแน่นสนิท
ทหารเฝ้าประตูรีบเข้าไปรายงานหัวหน้าเว่ย หัวหน้าเว่ยวิ่งมาถึงหน้าประตูเห็นเป็นองครักษ์วังหลวงก็ตระหนักว่าจะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์จากเมืองหลวงมาเยือน ในใจนึกคับข้องว่าองค์หญิงเล่อผิงกับองค์หญิงอันชิ่งต่างอยู่ที่ไหวหนานกันแล้ว จะยังมีเชื้อพระวงศ์ที่ใดมาในเวลานี้อีก คงไม่ใช่ว่ามารับตัวองค์หญิงทั้งสองพระองค์กลับเมืองหลวงนะ จึงรีบส่งคนไปรายงานชายารอง ส่วนตนเองเดินไปข้างรถม้า ต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์
รถม้าคันแรกมีม้ารูปงามสองตัวลากอยู่ เมื่อประตูเปิดออก ขันทีวัยกลางคนสวมหมวกสูงคนหนึ่งก็ก้าวลงมาพร้อมเอ่ยเสียงแหลม “พระราชโองการมาเยือน จวนเซียวอ๋องรับพระราชโองการ”
หัวหน้าเว่ยได้ยินแล้วตื่นตกใจ เซียวอ๋องไม่อยู่ที่จวนด้วยซ้ำ ส่งพระราชโองการแบบใดมากัน เขาไม่กล้าถามอะไรอีก วิ่งเข้าไปแจ้งกับชายารองด้วยตนเองเสียเลย
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนได้ยินคำพูดของหัวหน้าเว่ยแล้วใจกระตุก หรือเรื่องนั้นจะได้รับการพิสูจน์แล้ว?
หลังฟังคำพูดขององค์หญิงเล่อผิง อวี้ฉือเฟยเยี่ยนมีการเตรียมใจเอาไว้อยู่แล้ว แต่ยังคงคิดไม่ถึงว่าพระราชโองการจะมาไวเพียงนี้
นางรีบออกจากจวนไปเชิญขันทีผู้ประกาศพระราชโองการเข้ามาในจวน ขณะเดียวกันก็สั่งให้หัวหน้าเว่ยเตรียมพรมสี่เหลี่ยมผืนหนึ่ง
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนคุกเข่าบนพรมเรียบร้อยแล้วค้อมศีรษะเอ่ย “หม่อมฉันน้อมรับพระราชโองการแทนเซียวอ๋องเพคะ”