บทที่ 142
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไม่ได้พูดอะไรมากมาย แค่รอสินเจ้าสาวหลายคันรถของเฉิงอู๋ซวงถูกย้ายลงมาหมดแล้ว ถึงเอ่ยเสียงมั่นคง “องค์ชายรองทรงเขียนจดหมายมาสั่งให้ข้ารีบเดินทางไปชายแดนเหนือ เดิมทีจะออกเดินทางวันนี้ ไม่ทราบเรื่องที่ชายาเอกพระราชทานจะเดินทางมา ยังนึกกลุ้มใจว่าข้าไม่อยู่ในจวนแล้วไร้คนฝากฝัง ตอนนี้ในเมื่อชายาเอกเข้าจวนแล้ว ข้าก็นับว่าสบายใจ หลังจากพบหน้าชายาเอกก็จะขอบอกลาแล้วเจ้าค่ะ”
ตอนที่เฉิงอู๋ซวงเข้าไปในจวนก็มองเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ข้างประตู มีคนกำลังขนย้ายข้าวของขึ้นไปพอดี ตอนนี้มาได้ยินคำพูดของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็พอจะเข้าใจแล้ว จึงยิ้มน้อยๆ เอ่ย “น้องหญิงอวี้ฉือทำเพื่ออะไรกัน คงไม่ใช่ว่าเพราะข้าเข้ามาในจวนทำให้เจ้าไม่พอใจ เลยต้องการเดินทางไปทะเลทรายเหนือ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรเข้า หลังจากองค์ชายรองกลับมา ข้าจะอธิบายอย่างไร”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนรีบเอ่ย “ชายาเอกคิดมากไปแล้ว…” พูดจบนางก็สั่งให้เป่าจูนำจดหมายที่เขียนเตรียมไว้ออกมา “จดหมายขององค์ชายรองส่งมาถึงเมื่อเช้า ข้าเดินทางไปเพื่อทำงาน รอทำงานที่ท่านอ๋องทรงฝากฝังเสร็จเมื่อไร ก็จะรีบเดินทางกลับมาปรนนิบัติชายาเอกเจ้าค่ะ”
เฉิงอู๋ซวงเคยทำงานอยู่ในค่ายของเซียวอ๋อง รู้จักกับเซียวอ๋องมาก่อน ย่อมต้องแยกแยะลายมือของเขาออก ในเมื่อเป็นลายมือของเซียวอ๋อง ต่อให้เป็นนางก็ไม่สะดวกจะพูดอะไร
ถึงอย่างไรเฉิงอู๋ซวงก็ตระหนักว่าสมรสพระราชทานครั้งนี้ของตนเององค์ชายรองถูกปิดหูปิดตาไม่รู้เรื่อง หากเปลี่ยนเป็นสตรีทั่วไป เข้าจวนแบบลงมือทำก่อนค่อยแจ้งทีหลังเช่นนี้ บางทีอาจจะถอดใจกลางคัน
แต่ว่านางเฉิงอู๋ซวงไม่ใช่สตรีเรือนหลังที่กระบิดกระบวนเช่นนั้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่นางเห็นเซียวอ๋องก็ตกหลุมรักแรกพบเขาแล้ว ผู้อื่นต่างพูดว่านางแต่งงานช้าเพราะกลายมาเป็นแม่ทัพหญิง ความจริงคนที่มาสู่ขอถึงจวนสกุลเฉิงมีน้อยที่ใดกัน แต่ในใจนางวางเงาร่างองอาจนั้นไม่ลงตลอดเวลา จะยอมแต่งออกไปโดยง่ายได้อย่างไร
ดังนั้นตอนที่ฮ่องเต้พูดกับบิดาว่ามีเจตนายกนางให้เป็นชายาเอกของเซียวอ๋อง นางก็เข้าวังไปขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ตอบรับการแต่งงานนี้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องผ่านบิดาด้วยซ้ำ
เดิมทีนางแค่อยู่ที่จวนเซียวอ๋องในเมืองหลวงอย่างสบายใจก็พอ แต่นางกลับไม่เต็มใจ ในเมื่อชายารองที่เซียวอ๋องแต่งก่อนอยู่ที่ไหวหนาน มีเหตุผลอันใดให้นางรั้งอยู่เมืองหลวงด้วย
เรื่องนี้เป็นหลักการเดียวกับที่แม่ทัพพึงจะพักอยู่ร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา จึงออกเดินทางมายังไหวหนาน ทำความคุ้นเคยกับคนในจวนเซียวอ๋องก่อน ทั้งมีเจตนาให้เซียวอ๋องรับรู้ถึงความสามารถในการดูแลจวนของนางในช่วงที่เขาไม่อยู่จวน ว่าไม่ได้ด้อยกว่าความสามารถในการนำทัพของนาง
ต่อสะใภ้รองไร้ท่าทีกระบิดกระบวนเพียงนี้ ฮั่วอวิ่นก็ยังยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ตอนที่เฉิงอู๋ซวงออกจากเมืองหลวงยังสั่งเสิ่นฮองเฮาให้มาส่งสะใภ้รองคนนี้ออกเดินทางถึงประตูเมืองด้วย
ในบรรดาบุตรชายสามคนของเขา เจ้ารองคือคนที่ดูคล้ายเชื่อฟังแต่ความจริงต่อต้านมากที่สุด ความรู้สึกต่อบุตรชายคนรองของเขาเองก็ซับซ้อนมากที่สุด ทางหนึ่งต้องระแวงไม่ให้ความสามารถของบุตรชายแกร่งกล้าเกินไปจนเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจฮ่องเต้ แต่อีกทางหนึ่งก็ต้องคอยขัดเกลาความสามารถของเขาอย่างลับๆ
ขุนเขาธาราของต้าฉีได้มาไม่ง่าย ขอแค่ไม่ทันระวังก็จะมีสักวันที่สกุลฮั่วถูกตีจนกลับคืนร่างเดิม
ถึงแม้เจ้าใหญ่จะเป็นบุตรชายคนโตที่เหมาะสม ควรเป็นผู้สืบทอดขุนเขาธาราหมื่นหลี่ ทว่ากลับเป็นคนที่มีแต่ความทะเยอทะยาน ไร้ซึ่งผลงาน…
คนเป็นบิดาอย่างเขาไม่ใช่ไม่เคยมอบโอกาสให้รัชทายาท สมัยนั้นเขาโยกย้ายฮั่วจวินถิงไปอยู่ไหวหนาน ทั้งยังมอบหมายงานปรับปรุงกิจการค้าเกลือให้กับรัชทายาท ด้วยหวังว่ารัชทายาทจะอาศัยโอกาสนี้สร้างผลงาน ให้บรรดาขุนนางทั้งราชสำนักได้เห็นความสามารถจัดการงานบ้านเมืองของรัชทายาท
แต่ผลลัพธ์เกือบสองปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร คนที่เป็นถึงรัชทายาทอย่างเขาอาศัยการรับช่วงต่อกิจการค้าเกลือ โกงกินภาษีเกือบทั้งปีของการค้าเกลือของซานตงอย่างสมเหตุสมผล บุตรชายคนโตคนนี้หลงคิดว่าร่วมมือประสานในนอกกับเสิ่นกั๋วจิ้วจนไร้ช่องโหว่ ความจริงกลอุบายแค่นี้ถูกฮั่วอวิ่นมองเห็นอย่างชัดเจน
สุดท้ายก็เป็นคนที่สนับสนุนไม่ขึ้น! วันเวลายากจนสมัยอยู่ซินเหยี่ยประทับฝังลึกลงบนนิสัยของบุตรชายคนโตผู้นี้ล้ำลึกเกินไป เจ้าคิดเจ้าแค้นทั้งยังใจแคบ ในเรื่องเงินทองก็สายตาตื้นเขิน…จะรับภาระรัชทายาทของแคว้นได้อย่างไร
หันกลับมามองเจ้ารอง ถูกโยนไปยังสถานที่แห้งแล้งอย่างไหวหนาน เริ่มแรกภายในจวนอ๋องยากจนแทบไร้ข้าวสารติดหม้อ ทว่าในเวลาสั้นๆ ฮั่วจวินถิงกลับปรับปรุงการค้าเกลือ เปิดเส้นทางค้าขาย ขุดรากถอนโคนพรรคพวกเติ้งไหวโหรวออกจากไหวหนาน ไม่ว่าจะยกเรื่องใดขึ้นมาพูดล้วนเป็นผลงานที่ทำให้คนยอมรับนับถือจากใจ!