เมื่อชาวหูหรงผู้นั้นเหวี่ยงหมัดมา ไฉจิ้นเบี่ยงหลบเล็กน้อย แล้วฟาดฝ่ามือใส่แขนข้างที่ยื่นมาอย่างแรง คนที่อยู่ใกล้ต่างได้ยินเสียงกระดูกแตกหัก ชาวหูหรงคนนั้นทนรับแรงไม่ไหว ร้องเสียงหลงพร้อมก้าวถอยหลังทันควัน
บรรดาองครักษ์หูหรงที่อยู่ด้านหลังเห็นแล้วพากันร้องโวยวายชักดาบออกมาเตรียมพุ่งเข้าใส่ ตอนนั้นเองด้านหลังมีเสียงดังกังวานออกคำสั่งกระชับสั้นที่ฟังไม่เข้าใจ คล้ายจะสั่งให้พวกเขาหยุดมือ
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนมองลอดช่องบานประตูออกไป เห็นสตรีชาวต่างเผ่าดวงหน้ารูปไข่ผิวดำคล้ำ คิ้วดกตาโตคนหนึ่งเดินขึ้นมา นางสวมเสื้อคลุมขนเตียวกระโปรงหนังสั้น สวมรองเท้าขี่ม้าหุ้มข้อคู่หนึ่ง ส่วนมือถือแส้ยาวมองมาที่ไฉจิ้นด้วยกลิ่นอายสังหาร ฉับพลันสายตาเปลี่ยนเป็นคมกริบขึ้น มองผ่านไฉจิ้นมาทางประตูห้องที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนอยู่ ก่อนจะพูดบางอย่างออกมา
คนอื่นอาจฟังภาษาชนเผ่าป่าเถื่อนแดนเหนือไม่ออก แต่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนใช้ชีวิตอยู่แดนเหนือมานานเพียงนี้ คุ้นเคยกับภาษาถิ่นอย่างมาก นางได้ยินชัดว่าสตรีผู้นี้พูดว่า “บัณฑิตจูเก๋อน่าจะซ่อนตัวอยู่ในห้อง เรียกคนมาให้เยอะขึ้น สังหารคนของเขาให้หมด แต่จะต้องจับเป็นคนสารเลวผู้นั้นให้ได้ หลังจากจับตัวได้แล้วข้าจะควักหัวใจจูเก๋อผู้นี้ออกมาเซ่นไหว้บรรพชนด้วยตนเอง!”
คำพูดนั้นกัดฟันค่อยๆ เค้นลอดออกมา อวี้ฉือเฟยเยี่ยนนึกไม่ออกจริงๆ ว่าตนเองกับสตรีผู้นี้มีความแค้นใหญ่โตอะไรต่อกัน นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาทำตัวป่าเถื่อนถึงถิ่นต้าฉีโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
เมื่อเห็นว่ากำลังจะมีกลุ่มคนขึ้นมาชั้นบนอีก อวี้ฉือเฟยเยี่ยนตระหนักว่ากำลังทางฝั่งตนเองอ่อนแอ มีเพียงคำว่า ‘ถ่วงเวลา’ คำเดียวเท่านั้น นางจึงรีบเดินไปที่โต๊ะแล้วหยิบกล่องเครื่องประทินโฉมที่เป่าจูวางอยู่บนโต๊ะ หยิบแท่งเขียนคิ้วแตะสีดำน้ำหมึกเขียนอักษรแถวหนึ่งลงบนกระดาษ ก่อนพับแล้วส่งให้เป่าจูพร้อมกับกำชับ “ประเดี๋ยวอาศัยโอกาสช่วงที่ข้าคุยกับคนกลุ่มนี้ เจ้าให้องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างกลับห้องไปส่งนกพิราบสื่อสารออกไป”
นางคิดแล้วค้นของอีกอย่างมาจากในห่อสัมภาระ ใส่ในปลอกหมอนพร้อมโยนหมอนลงพื้น จากนั้นเปิดประตูเดินออกไปประสานมือเอ่ยกับสตรีต่างเผ่าผู้นั้น “ไม่ทราบว่าท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่มาจากที่ใดหรือขอรับ”
สตรีผู้นั้นเห็นประตูห้องเปิดออก บัณฑิตสุภาพร่างผอมคนหนึ่งเดินออกมาก็ตกตะลึง เพียงแค่มองสำรวจขึ้นลงเงียบๆ
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนนึกว่าอีกฝ่ายฟังภาษาฮั่นไม่ออก จึงใช้ภาษาถิ่นหูหรงถามอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าสตรีชนต่างเผ่าผู้นั้นไม่คาดคิดว่าคุณชายสุภาพตัวผอมที่ดูเป็นบัณฑิตแดนใต้ผู้นี้จะอ้าปากเอ่ยภาษาถิ่นหูหรงแดนเหนือชัดถ้อยชัดคำออกมาได้ ในดวงตากลมโตคู่นั้นคล้ายมีสะเก็ดไฟวูบไหว ก่อนยิ้มน้อยๆ ถามตรงๆ “เจ้ามาจากที่ใด มาทำอะไร ชื่ออะไร”
เดิมทีอวี้ฉือเฟยเยี่ยนนึกว่าในเมื่อสตรีนางนี้มาเพื่อจับตัวบัณฑิตจูเก๋อ ย่อมรู้จักหน้าตาของนาง นึกไม่ถึงว่าสตรีที่เมื่อครู่นี้แค่พูดถึงนางยังกัดฟันกรอด เพียงครู่เดียวกลับมองนางไม่ออก อดไม่ได้นึกสงสัยขึ้นมา ระหว่างครุ่นคิดก็กดเสียงต่ำเอ่ย “ข้าฉือเยี่ยนเฟย เป็นคนเจียงหนาน เดินทางออกนอกด่านมาเพื่อทำการค้าเล็กน้อยบางอย่าง เมื่อครู่บ่าวบ้านข้าเข้าใจคนของแม่นางผิด ลงมือทำร้าย ข้าขอจ่ายค่ายาให้เอง หวังว่าแม่นางจะไม่กล่าวโทษ”
ท่าทีสุภาพมีมารยาทนับว่าหาได้ยากทางแดนเหนือ อวี้ฉือเฟยเยี่ยนสวมเสื้อแขนยาวคอเสื้อสูง บดบังลำคอได้พอดี นัยน์ตาหงส์นางกลมโต รูปโฉมงามสะอาด รูปโฉมเวลาปลอมเป็นบุรุษยังให้ความรู้สึกสง่างามยากจะแยกแยะเพศออก สมัยก่อนตอนอยู่แดนเหนือนางมักแต่งกายเป็นบุรุษไปไหนมาไหนกับฝานจิ่งบ่อยๆ ดังนั้นไม่ว่าจะท่าทาง คำพูดหรือกิริยาต่างไม่เปิดเผยพิรุธ
สตรีนางนั้นค่อยๆ ก้าวขึ้นหน้า ไฉจิ้นยังหมายขัดขวาง ทว่าถูกนางสะบัดแส้ยาวมาพันเอว บุรุษตัวสูงแปดฉื่อกลับถูกแม่นางที่กำลังแขนน่าตื่นตะลึงเหวี่ยงตัวลงไปข้างล่างอย่างง่ายดาย ตัวคนล้มกระแทกบนโต๊ะ ทำเอาคนที่อยู่ชั้นล่างวิ่งหนีกันอลหม่าน
หลังจากไฉจิ้นถูกเหวี่ยงตกลงไปก็โดนดาบสิบกว่าเล่มยื่นมาจ่อคอ ทว่าสีหน้ากลับตกตะลึงเป็นพิเศษ คล้ายคาดไม่ถึงว่าตนเองจะถูกสตรีนางหนึ่งเหวี่ยงตกลงมาจากชั้นสอง
องครักษ์ที่เหลือของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเองก็ถูกทหารหูหรงที่ตามขึ้นมาทีหลังใช้ดาบพาดคอ ไม่อาจขยับตัว ส่วนแม่นางผู้นั้นสามารถเดินมาถึงตรงหน้าอวี้ฉือเฟยเยี่ยนอย่างไร้อุปสรรค ค่อยๆ เดินวนรอบตัวนางหนึ่งรอบ ยื่นหน้าไปดมผมที่เปียกชื้นน้อยๆ ของนาง ก่อนเอ่ยปากด้วยภาษาฮั่นแปร่งๆ “เพิ่งอาบน้ำหรือ บุรุษชาวใต้อย่างพวกเจ้าถึงได้ตัวหอมกันเพียงนี้”
เดิมทีท่าทางละลาบละล้วงเช่นนี้ทำให้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนตกใจ หลงนึกว่าถูกสตรีชาวหูหรงผู้นี้จับได้แล้ว ทว่านึกไม่ถึงว่านางจะถามเช่นนี้ ยามนั้นจึงใคร่ครวญเอ่ย “ใช้เจ้าเจี่ยวสมุนไพรหอมที่นิยมในเจียงหนาน หากแม่นางชอบ ข้ายกให้แม่นางบางส่วนเป็นอย่างไร”
สตรีผู้นั้นยิ้มน้อยๆ “ปากหวานเพียงนี้เจ้ารู้จักเอาใจสตรีน่าดูนี่…”
ตอนนั้นเองที่ชั้นล่างมีคนเดินเข้าโรงเตี๊ยมมาอีกจำนวนหนึ่ง ในมือชูธนูยาวที่เสียบนกพิราบสื่อสารเอาไว้พร้อมเอ่ยด้วยภาษาหูหรงว่า “ท่านหัวหน้า มีคนปล่อยนกพิราบสื่อสารไปขอรับ!”
คราวนี้เป่าจูที่อยู่ด้านหลังอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว ความหวังอันริบหรี่สุดท้ายกลับถูกเสียบตายคาลูกธนูแหลมคมทั้งอย่างนี้เสียแล้ว
สตรีผู้นั้นสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ยื่นมือรับนกพิราบสื่อสารที่ถูกโยนขึ้นมาจากชั้นล่าง ก่อนหยิบกระดาษออกมาจากกระบอกต้นกกตรงกรงเล็บเท้า เห็นตัวอักษรบนนั้นเขียนว่า
‘ร ต อ ฉ!’