บทที่ 172
ได้ยินฮุ่ยกุ้ยเฟยเอ่ยทัก อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจึงลุกขึ้นคารวะนาง
พูดกันโดยไร้อคติ แรงกดดันของเสิ่นฮองเฮาในตอนนี้ลดลงขั้นหนึ่งแล้วเมื่อเทียบกับหลายปีก่อน ภายในวังหลวงมีไหน้ำส้มเก่าเก็บให้ดื่มไม่หมด ถ้าหากเอาแต่ดื่มอย่างเสียสติโดยไม่รู้จักควบคุม ก็จะเมามายล้มฟุบลุกไม่ขึ้นเหมือนร่ำสุราหมักนานปี อีกทั้งทุกวันนี้เสิ่นฮองเฮาอายุประมาณหนึ่งแล้ว รูปโฉมในคันฉ่องขาดความอ่อนเยาว์ลงหลายส่วน สภาพจิตใจเองก็แตกต่างไปอย่างมาก ดังนั้นจึงยากจะสนใจดูแลบรรดาสนมชายาแต่ละคนที่ฮ่องเต้เพิ่งโปรดปราน กระนั้นการชิงไหวชิงพริบของสตรีตำหนักในกลับเกิดขึ้นบ่อยครั้งและหลากหลายรูปแบบขึ้นกว่าแต่ก่อน
แม้ขาดการตัดปัญหาอย่างเฉียบขาดดุจกรเหล็กของเสิ่นฮองเฮา แต่ความโหดร้ายภายในวังกลับไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย เมื่อวานนี้เองสนมโปรดคนใหม่ของฮ่องเต้ที่ตั้งครรภ์ห้าเดือนกลับตกลงทะเลสาบตอนไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ตามลำพังอย่างน่าประหลาด รอตอนนางกำนัลซึ่งไปหยิบชุดคลุมให้นางที่ตำหนักย้อนกลับมา คนก็ลอยคว่ำหน้าอยู่กลางทะเลสาบไปแล้ว
ระยะนี้เสิ่นฮองเฮาคร้านจะดูแลเรื่องตำหนักใน ฮุ่ยกุ้ยเฟยผู้นั้นรับพระราชโองการจากฮ่องเต้ให้จัดการหกตำหนักแทนฮองเฮา แต่เกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ขึ้นในวังฮองเฮายังคงจำเป็นต้องสอบถามเสียหน่อย “เมื่อวานที่สวนดอกไม้ด้านหลังไม่สงบเสียที ฮุ่ยกุ้ยเฟยสืบพบเรื่องอะไรหรือไม่”
ฮุ่ยกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ค้อมตัวเล็กน้อยกล่าว “ได้ขุนนางเก่งกาจจากศาลต้าหลี่ท่านหนึ่งมาช่วยสืบดูแล้วเพคะ ตอนที่เกิดเรื่องไม่มีใครไปยังสวนแห่งนั้น เนื่องจากหินริมทะเลสาบเปียกน้ำฝนจึงลื่นอยู่บ้าง เป่ากุ้ยเหรินอาจอยากชมปลาในทะเลสาบ จึงก้าวไม่ทันระวังลื่นตกลงไป…หม่อมฉันสั่งให้คนกั้นรั้วขึ้นรอบทะเลสาบแล้ว ป้องกันไม่ให้วันหน้าเกิดเคราะห์ร้ายแบบเดิมขึ้นซ้ำอีกเพคะ…”
ฮุ่ยกุ้ยเฟยไม่เพียงงดงาม กระทั่งน้ำเสียงที่ใช้พูดยังอบอุ่นอ่อนโยน มิน่าฮ่องเต้ถึงโปรดปรานมากกว่าใคร
กระนั้นสามารถแย่งชิงตำแหน่งกุ้ยเฟยมาได้ท่ามกลางตำหนักในที่รายล้อมด้วยอันตราย ทั้งทุกวันนี้ยังกลายเป็นคนดูแลหกตำหนักแทนฮองเฮา จะใช่บุคคลใสซื่อบริสุทธิ์ธรรมดาได้อย่างไร
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนนั่งฟังบทสนทนาของพวกนางอยู่เงียบๆ ด้านข้าง แต่ภายในใจกลับเกิดความระแวงฮุ่ยกุ้ยเฟยผู้นี้ขึ้นมา ฮั่วจิ้งบุตรชายของนางเพิ่งอายุหกเดือน แต่ทารกในห่อผ้าผู้นี้กลับได้รับบรรดาศักดิ์เค่ออ๋องแล้ว
‘เค่อ’ นัยถึงเคารพนอบน้อม บรรดาศักดิ์นี้ที่ฮ่องเต้มอบให้นับว่าแฝงความนัยลึกซึ้ง หวังให้บุตรชายคนนี้เคารพรักษาหน้าที่ของตนเอง กลายเป็นการแอบระบายความกังวลในใจของฮ่องเต้…ในฐานะบุตร ภารกิจสำคัญอันดับแรกคือเคารพนอบน้อม การรักษาหลักคุณธรรมประมุขขุนนางได้ถึงจะเป็นบุตรชายที่กตัญญูที่สุด!
ถึงแม้อาหารภายในงานเลี้ยงวังหลวงจะวิจิตรประณีต แต่รสชาตินั้นพูดกันอย่างไม่ลำเอียงแล้วกลับอร่อยสู้รสชาติที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนลงมือทำในห้องครัวเล็กของตนเองไม่ได้ด้วยซ้ำ
หลังจากกินอาหารเสร็จ เสิ่นฮองเฮาเองก็ล้าแล้ว จึงกลับไปที่ตำหนักก่อน ขณะเดียวกันก็เรียกอวี้ฉือเฟยเยี่ยนไปสนทนาด้วยที่ตำหนัก
ฮองเฮาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอนอยู่บนตั่งนิ่ม ถึงได้เรียกอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเข้าไปในห้องข้างใน
เพราะนี่เป็นเวลาส่วนตัว เสิ่นฮองเฮาจึงเปิดเผยความเหน็ดเหนื่อยให้เห็นจนหมดสิ้น เพียงหลับตาเอ่ยกับอวี้ฉือเฟยเยี่ยน “ครั้งนี้ที่เรียกเจ้าเข้าวัง เรื่องแรกเพื่อให้เจ้าได้พบหน้าบรรดาสตรีในวัง ส่วนเรื่องที่สองก็เพราะเจ้ารองขอให้ข้าทำเรื่องใหญ่จริงจังบางอย่างให้…องค์ชายรองต้องการให้ข้ายกเจ้าขึ้นเป็นชายาเอก”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนได้ยินประโยคนี้แล้วสะดุ้งตกใจ ช้อนสายตาขึ้นมองอย่างแปลกใจ แต่ตอนนี้ฮองเฮากลับลืมตาขึ้นกะทันหัน จ้องมองนางด้วยแววตาวาวโรจน์ ครั้นเห็นความแปลกใจบนใบหน้านางไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำออกมาจริงๆ ถึงได้ค่อยๆ ปิดตาลงอีกครั้ง
“ฮองเฮา ไม่ได้เด็ดขาดนะเพคะ เรื่องนี้…”