ราชบุตรเขยคนปัจจุบันนอกจากมีบิดาดีแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นดีอีก ชื่อเสียงอย่างเดียวที่พอจะมีคือ ‘หมวก’ ซึ่งทั้งใบใหญ่และเขียวที่องค์หญิงสวมให้เขา บรรดาขุนนางเหล่านี้ต่างเคยได้ยินมาบ้าง ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะไปอยู่ไหวหนาน ปกครองดูแลพื้นที่หนึ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรเวลายังไม่ยาวนาน ประสบการณ์ยังน้อย ขุนนางกรมอากรต่างไม่กลัวเกรง พวกเขายืนกรานว่างบประมาณกับเสบียงที่ส่งออกไปไม่ผิดพลาด ส่วนที่ว่าทางชายแดนเหนือได้รับน้อยลงหรือไม่ งบประมาณกับเสบียงที่น้อยลงอยู่ที่ใด ถูกใครยักยอกไป พวกเขากลับไม่รู้อะไรทั้งนั้น
หวังอวี้หล่างคาดการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว เพียงไม่นานก็พาผู้สืบคดีฝีมือดีของกรมอาญามุ่งหน้าไปยังชายแดนเหนือ จากชายแดนเหนือเดินทางตามเส้นทางขนส่งเสบียงสืบย้อนกลับมายังเมืองหลวงทีละแห่งๆ ทุกครั้งที่ไปถึงสถานที่หนึ่งก็จะจับขุนนางท้องถิ่นที่รับผิดชอบเรื่องนี้มาไต่สวน รอตรวจสอบกระจ่างชัดว่าไม่มีการยักยอกถึงปล่อยตัวออกมา สำหรับขุนนางเหล่านี้หวังอวี้หล่างเป็นราชบุตรเขย และยิ่งเป็นขุนนางใหญ่ผู้แทนพระองค์ที่ได้รับพระราชโองการจัดการคดี ไม่ว่าจะฐานะใดพวกเขาก็ไม่อาจล่วงเกิน แต่ละคนตัวสั่นงันงก ช่วยให้เขาทำงานได้ราบรื่นมาก ในไม่ช้าก็สืบพบขุนนางที่เกี่ยวข้องชุดหนึ่ง
รอหวังอวี้หล่างเดินทางจากชายแดนเหนือกลับถึงเมืองหลวง ขุนนางที่ตรวจสอบพบมาตลอดทางก็มากถึงหลักร้อยคนแล้ว ส่วนใหญ่ต่างถูกขังคุกท้องถิ่น มีเพียงสิบกว่าคนที่ปริมาณโกงกินค่อนข้างมากถึงถูกเขาพากลับมาเมืองหลวงด้วย เมื่อมีพยานกับหลักฐานเหล่านี้ หวังอวี้หล่างจึงสืบพบขุนนางในกรมอากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างรวดเร็วทั้งหมดแปดคน ขุนนางตำแหน่งใหญ่สุดก็คือรองเสนาบดีกรมอากรเวินจื้อต๋า
วันที่เวินจื้อต๋าถูกจับขังคุก หวังอวี้หล่างได้เข้าไปไต่สวน เขาสั่งให้พาเวินจื้อต๋าย้ายไปยังคุกแห่งหนึ่ง ให้ผู้อื่นเฝ้าอยู่ข้างนอกประตู บรรยากาศในคุกน่าสยดสยอง บนพื้นวางอ่างสำริดที่ใส่ถ่านลุกโชนเอาไว้ เผาเหล็กตีตราจนแดงก่ำเป็นเสียงดังฟู่ออกมา ตามเสาห้อยเครื่องมือลงทัณฑ์นานาชนิดเอาไว้ มีสว่านเหล็กเจาะนิ้ว มีดเหล็กเราะกระดูก ตะขอเหล็กห้อยคน ทอประกายเย็นเยียบออกมาท่ามกลางแสงไฟสะท้อน ทิ่มแทงเข้าหัวใจเวินจื้อต๋าจนกระตุกปวด
หวังอวี้หล่างมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน เอ่ยเสียงอบอุ่น “ใต้เท้าเวิน ในครอบครัวยังมีใครอีก”
เวินจื้อต๋าตอบเสียงขมขื่น “ยังมีบุตรชายสามคน บุตรสาวสองคน”
หวังอวี้หล่างเอ่ย “ใต้เท้าลืมแล้วหรือว่ายังมีฮูหยินห้าคน บุตรชายอนุสี่คน บุตรสาวอนุเจ็ดคน ใต้เท้าเคยคิดถึงจุดจบหรือไม่ รวมถึงบรรดาฮูหยิน บุตรชายบุตรสาวเหล่านั้นของท่านว่าจะมีจุดจบเช่นไร”
ถ้อยคำอ่อนโยนของหวังอวี้หล่างเปรียบดั่งมีดแหลมคมแทงเข้าหัวใจของเวินจื้อต๋า เขาคุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้อ้อนวอน “ข้าน้อยรู้ว่านี่เป็นความผิดใหญ่โต แต่ขอให้ใต้เท้าเห็นแก่ที่เป็นสหายร่วมงานกันมา ปล่อยครอบครัวข้าน้อยไปด้วยเถิด”
หวังอวี้หล่างเอ่ยต่อ “ศึกที่ชายแดนเหนือเกี่ยวพันถึงความมั่นคงของแคว้น ท่านกลับยังกล้าลงมือ ฝ่าบาทกริ้วหนัก ท่านไม่อาจหนีพ้นโทษประหาร ต่อให้เป็นคนในครอบครัวก็จะติดร่างแหไปด้วย บุรุษถูกส่งไปเป็นทาส ฮูหยินกับคุณหนูถูกส่งไป ‘อบรม’ สั่งสอนเป็นคณิกาตามสถานที่ของทางการ เดิมทีเป็นสายเลือดตระกูลสูงศักดิ์ บัดนี้กลับต้องมาถูกคนนับพันเหยียบย่ำ นับหมื่นย่ำยี ช่างน่าเสียดายน่าเศร้านัก…”
เวินจื้อต๋าได้ยินมาถึงตรงนี้ตัวก็อ่อนยวบ ทรุดลงหมอบแนบพื้น ร้องไห้อย่างเจ็บปวด
หวังอวี้หล่างมองเขาด้วยสีหน้าอบอุ่นสักพัก ก่อนลุกขึ้นเดินเข้าหา นั่งยองๆ ลงกระซิบเอ่ยข้างหูเขา “ตัวท่านยากจะรอดพ้นหายนะ แต่ครอบครัวท่านยังมีโอกาสรอดอยู่” เขาพูดจบก็หยิบกระดาษใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “วันพรุ่งนี้ข้าจะมาไต่สวนท่านอีกครั้ง หลังจากโดนทรมานให้ท่านพูดตามที่เขียนอยู่ในนี้ ถึงเวลารัชทายาทจะช่วยคุ้มครองความปลอดภัยของครอบครัวท่านเอง”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 พ.ค. 68