ใครจะคาดคิดว่าเด็กคนนี้รู้จักวางแผนให้ตนเอง จับจ้องสตรีที่ทั้งถ่อมตนและสุขุมเช่นนี้อย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง ถึงแม้ข้างนอกจวนอ๋องจะมีอุปสรรคปัญหา ความขัดแย้งในราชสำนักไม่หมดสิ้น แต่กลับมาที่จวนแล้วมีบุปผารู้ใจคนคอยเฝ้ารออยู่ใต้แสงโคมอ่อนโยนเช่นนี้อยู่ ทำให้บิดามารดาบุญธรรมอย่างพวกเขาสบายใจลงไม่น้อย
แม่สามีลูกสะใภ้สองคนนี้เป็นเหมือนแม่ลูกครอบครัวทั่วไป พูดคุยยิ้มแย้มเย็บผ้าด้วยกัน ตวนมู่ฮูหยินฝีมือดี ใช้ด้ายสองเส้นปักหัวเสือออกมาอย่างมีชีวิตชีวา
ถึงแม้มือของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนจะขยับทำงาน ทว่ากลับแอบชำเลืองมองตวนมู่ฮูหยินที่อยู่ด้านข้าง เมื่อมองเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่ากุ้ยเฟยที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่ผู้นั้นคล้ายคลึงกับมารดาบุญธรรมอย่างยิ่ง เพียงแต่ถึงแม้รูปโฉมจะละม้ายคล้ายกัน มิหนำซ้ำกุ้ยเฟยผู้นั้นยังอยู่ในวัยสาวสะพรั่ง แต่พูดถึงแค่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่าง แล้วกลับดูเลียนแบบได้ไม่ถึงขั้นอยู่ดี
ถึงแม้ตวนมู่ฮูหยินจะอายุประมาณหนึ่งแล้ว แต่เพราะใช้ชีวิตสงบสุขสบายใจมาตลอด อีกทั้งรักใคร่ปรองดองกันดีกับตวนมู่เซิง ซ้ำยังไม่เคยมีลูก ดังนั้นมองแล้วกลับดูอายุน้อยกว่าฮองเฮามาก เพียงแต่เหตุใดฮ่องเต้ถึงเกิดความคิดเช่นนี้
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนนึกใคร่รู้ขึ้นมา แต่เรื่องนี้กลับไม่สะดวกถามตรงๆ จึงยิ้มเอ่ย “เดิมทีหลงคิดว่าสมัยนั้นเป็นแค่เหตุบังเอิญ ท่านอ๋องถึงถูกฝากเลี้ยงที่บ้านของท่านพ่อ ภายหลังถึงได้รู้ว่าทั้งสองครอบครัวเป็นสหายสนิทกันมานานแล้ว…ท่านพ่อรู้จักกับฝ่าบาทได้อย่างไรหรือเจ้าคะ”
ตวนมู่ฮูหยินยิ้มน้อยๆ บนแก้มเผยลักยิ้มบุ๋มลึก “เดิมทีฝ่าบาทเป็นทหารรักษาการณ์ซินเหยี่ย ในการเดินทางไกลครั้งหนึ่งขึ้นเขาไปล่าสัตว์ เจอกับเสือร้ายเข้า ถึงแม้จะทุ่มสุดกำลังสังหารเสือร้ายลงได้ ทว่าได้รับบาดเจ็บหนัก ท่านพ่อเจ้าเข้าไปในภูเขาเพื่อเลือกไม้มาประดิษฐ์กลไก บังเอิญเจอกับพระองค์ที่บาดเจ็บหนักเข้าพอดี จึงช่วยพระองค์เอาไว้ พามายังบ้านที่ภูเขาฉยงซานของพวกเราสมัยนั้น ให้พักรักษาตัวอยู่นานสามเดือนเต็มๆ ถึงหายดี ฝ่าบาททรงระลึกถึงบุญคุณช่วยชีวิต ดังนั้นจึงกลายเป็นสหายรู้ใจของท่านพ่อเจ้า”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนฟังแล้วผงกศีรษะ ในใจพอจะเดาความเป็นมาเป็นไปคร่าวๆ ได้แล้ว ระยะเวลาสามเดือนไม่นับว่านาน แต่ก็ไม่สั้น คนที่ดูแลคนเจ็บย่อมเป็นตวนมู่ฮูหยิน ดูจากสภาพของมารดาบุญธรรมตอนนี้ สามารถจินตนาการได้ว่าสมัยอายุน้อยจะงดงามเด่นจรัสเพียงใด…คงจะผูกกรรมกันขึ้นมาตอนนั้นสินะ
บิดากับมารดาบุญธรรมต่างเป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตอยู่ในขุนเขาสายน้ำ แต่ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่ที่ชานเมืองหลวง ทว่าก็เป็นพื้นที่มั่งมีใต้ฝ่าเท้าโอรสสวรรค์ ต่อให้เป็นเพราะความสัมพันธ์กับฮั่วจวินถิงจึงปักหลักอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีทางถึงขนาดไม่มีเวลาออกไปท่องเที่ยว…คู่สามีภรรยากลับคล้ายถูกกฎที่มองไม่เห็นบางอย่างผูกมัดบังคับให้อยู่ที่นี่
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไม่สะดวกถามต่อ จึงพูดคุยเรื่อยเปื่อยเรื่องอื่นกับตวนมู่ฮูหยินขึ้นมาแทน
พอตัดแบบรองเท้าเสร็จ อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเองก็เริ่มล้าแล้ว ตวนมู่ฮูหยินออกไปทำอาหารเย็น เป่าจูที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนพามาด้วยตามออกไปช่วยเช่นกัน
ขณะที่กำลังนอนหลับสนิท ตรงแก้มอวี้ฉือเฟยเยี่ยนพลันรู้สึกจั๊กจี้ขึ้นมา เมื่อฝืนลืมตาขึ้นอย่างลำบากถึงพบว่าเซียวอ๋องกำลังจับปลายหางเปียของนางมาเขี่ยแก้มเล่น
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนกำลังหลับสนิท ลืมตาขึ้นมาเห็นเป็นเซียวอ๋องก็ไม่พูดจา นางหลับตาลงพลิกตัวตั้งใจหลับต่อ
บุรุษด้านหลังเห็นนางนอนเป็นแมวขี้เซาไม่สนใจเขาก็นอนลงแนบกาย มือหนึ่งค้ำศีรษะ เลิกคิ้วเข้มเอ่ย “เพิ่งออกจากจวนไม่กี่วันก็เสียนิสัยแล้วหรือ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 พ.ค. 68