เมื่อมาถึงร้านโจ๊ก ถึงแม้เขาจะเห็นว่ามีคนกำลังกินโจ๊กอยู่ผู้หนึ่ง แต่เขาไม่มีเวลาสนใจมองใบหน้าตรงๆ คิดว่าเป็นแค่ลูกค้าทั่วไปจึงสนใจแต่พูดข่าวใหม่ที่ตนเองได้รับมา “เฟยเยี่ยนเอ๊ย ใต้เท้าหลี่มีสหายร่วมงานคนหนึ่ง บุตรชายของเขาอายุสิบเก้าปี นิสัยซื่อตรง อายุนับว่าเข้ากัน บิดาของเขาได้ยินว่าบุตรสาวของแม่ทัพอวี้ฉือจะพูดคุยเรื่องแต่งงานก็ยินดีมาก ตั้งใจจะให้ภรรยาตนเองมาดูเจ้าด้วยตนเอง วันพรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องเปิดร้าน แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วตามลุงไปดูตัว…”
อวี้ฉือรุ่ยพูดมาถึงตรงนี้ในที่สุดก็เหลียวกลับไปมองพวกคนที่คล้ายยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงหน้าประตู พอตั้งใจมองแล้วเหมือนจะเป็นพวกองครักษ์ แต่ละคนต่างรูปร่างสูงใหญ่ หัวใจจึงกระตุกเล็กน้อย ค่อยหันไปมองสำรวจลูกค้าที่กำลังค่อยๆ จิบชาผู้นั้นอีกที ก่อนตกใจขวัญกระเจิงโดยพลัน
“มะ…เมื่อครู่นี้ผู้น้อยไม่ทันเห็น ไม่ได้คำนับเซียวอ๋อง ขอท่านอ๋องโปรดอภัยให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เซียวอ๋องไม่แม้แต่จะมองบุรุษวัยกลางคนที่คุกเข่าขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่บนพื้น เพียงใช้ผ้าเช็ดหน้าซับปาก จากนั้นเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ใต้เท้าหลี่ที่รับราชการอยู่คนใดกัน สหายร่วมงานของเขาช่างเห็นแก่สายสัมพันธ์ในอดีตเสียจริง ได้ยินว่าเป็นบุตรสาวของอดีตแม่ทัพราชวงศ์ก่อนกลับยินดีเพียงนั้น หรือว่าอยากจะมีส่วนร่วมกับขุนนางภักดีต่อราชวงศ์ก่อนทั้งครอบครัว เขียนบทกวีใจทระนงที่งดงามออกมา?”
เจตนาร้ายในถ้อยคำของเซียวอ๋องไม่ว่าใครก็ฟังออกได้ อวี้ฉือรุ่ยร้อนใจแทบหลั่งน้ำตาของผู้อาวุโส แค่พลั้งเผลอไม่ทันระวัง หายนะก็ออกจากปากแล้วจริงๆ
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นเซียวอ๋องมีทีท่าจะสร้างความลำบากให้ท่านลุงก็คุกเข่าลงตาม เอ่ยอย่างไม่เย่อหยิ่งไม่ต้อยต่ำ “เซียวอ๋องทรงคิดมากแล้ว ทุกวันนี้สกุลอวี้ฉืออาศัยเพียงการขายโจ๊กจืดจางสักชามหาเลี้ยงชีพ การกินอิ่มครบสามมื้อคือเรื่องใหญ่ในชีวิต ไม่มีเรี่ยวแรงทำอย่างอื่นอีก ท่านลุงเองก็แค่ทุ่มเทใจคิดถึงเรื่องการแต่งงานของผู้น้อย ความจริงผู้น้อยในฐานะแม่ค้าข้างถนน ครอบครัวเช่นนี้เป็นการปีนป่ายที่สูงเกินไป คิดว่าอีกฝ่ายคงเพราะท่านลุงขอร้อง ไม่สะดวกปฏิเสธ แค่อยากไว้หน้าท่านลุงเท่านั้น จะลงเอยได้อย่างไรเพคะ”
พูดจบแล้วนางชะงักเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “เหมือนว่าเซียวอ๋องจะยังทรงไม่อิ่ม ผู้น้อยกำลังต้มโจ๊กหม้อใหม่อีกหม้อ อีกประเดี๋ยวถึงจะเสร็จ แต่ว่าที่บ้านยังมีน้องๆ ที่ไม่ได้กินข้าว ไม่ทราบว่าจะให้ท่านลุงของผู้น้อยกลับไปดูแลน้องชายน้องสาวก่อนได้หรือไม่เพคะ”
อวี้ฉือรุ่ยถูกพฤติกรรมขวัญกล้าของหลานสาวทำให้ตกใจแข้งขาอ่อน รอฟังคำพูดของเซียวอ๋องอย่างกระวนกระวายใจ
เซียวอ๋องค่อยๆ หมุนถ้วยชาในมือเงียบๆ ปล่อยให้สองลุงหลานคุกเข่าอยู่บนพื้นเป็นเวลานานครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ย “ในเมื่อเป็นการแต่งงานที่ปีนป่ายอีกฝ่าย เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องไปเจอกันแล้ว หากเดือดร้อนถึงผู้อื่นเข้าจะไม่ดี…”
พูดจบเขาก็วางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้นยืน เงาร่างสูงใหญ่ทำให้ร้านโจ๊กที่คับแคบยิ่งดูไม่มีที่หายใจมากกว่าเดิม โชคดีที่เซียวอ๋องหาเรื่องจนพอใจแล้ว ยอมก้าวออกจากร้าน ตวัดกายขึ้นหลังม้าจากไปในที่สุด
อวี้ฉือรุ่ยถอนหายใจยาว แต่เมื่อคิดอีกทีว่าการแต่งงานที่ตนเองอุตส่าห์หามาอย่างยากเย็นถูกเซียวอ๋องเข้ามาแทรกแซงไม่เหลือชิ้นดีก็มีสีหน้าอยากร้องไห้อีกครั้ง นั่งทึ่มทื่ออยู่ที่เดิม
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นสภาพเช่นนี้ของท่านลุงแล้วรู้สึกทนไม่ได้ รีบช่วยประคองเขาขึ้นมาพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ท่านลุงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการแต่งงานของข้าเกินไป เรือแล่นถึงสะพานย่อมมีทางไปต่อ* จะลำบากไปไย ข้าให้ยวนยางไปซื้อเนื้อกับสุราแล้ว ท่านลุงกลับบ้านแล้วกินดื่มกับพวกเราดีๆ สักมื้อนะเจ้าคะ”
อวี้ฉือรุ่ยได้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนช่วยประคองลุกขึ้นยืน ยังคงมีสภาพหดหู่ หลังเดินออกจากประตูร้านโจ๊ก มองดูตรอกยาวที่ร้างผู้คนแล้ว เขาก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เซียวอ๋องแวะมาที่นี่ได้อย่างไร คงไม่ใช่ว่า…ต้องตาเจ้านะ?”
นึกถึงเหตุการณ์ที่เซียวอ๋องเรียกหลานสาวไปที่จวนก่อนหน้านี้ อวี้ฉือรุ่ยใจเต้นแรง หรือเพราะว่าเฟยเยี่ยนรูปโฉมงดงาม ส่งผลให้เซียวอ๋องผู้นั้นเกิดความปรารถนา? หากเป็นเช่นนี้ควรทำอย่างไรดี ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าหลานสาวของตนเองยอดเยี่ยมทุกประการ แต่สุดท้ายก็เป็นครอบครัวที่ตกอับมาจากราชวงศ์ก่อน นับประสาอะไรกับที่บิดาของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเป็นแม่ทัพต่อต้านกองทัพต้าฉีผู้เลื่องชื่ออีกด้วย ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่อาจจับคู่กันได้ ถ้าหากเข้าไปในจวนเซียวอ๋อง ไม่รู้เซียวอ๋องผู้นั้นเป็นคนเช่นไร ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็แค่หามเกี้ยวรับอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเข้าประตูเล็ก มอบตำแหน่งอนุให้เท่านั้น
ชะ…เช่นนี้ควรทำอย่างไรดี
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนได้ยินคำถามของท่านลุงแล้วขบขัน รู้สึกว่าท่านลุงจะคิดมากไปแล้วจริงๆ “ทุกวันนี้เซียวอ๋องผู้นั้นสูงศักดิ์เป็นถึงองค์ชายแห่งต้าฉี ในจวนจะขาดสตรีได้อย่างไร ถ้าหากคิดร้ายต่อหลานจริงๆ ครั้งก่อนหลานก็คงรักษาตัวรอดได้ยากแล้ว วันนี้อย่างมากคงแค่ผ่านทางมา เลยลองชิมอะไรแปลกใหม่ก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ!”