ดังนั้นทุกครั้งที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่น ล้วนเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลอกเลียนของสตรีสูงศักดิ์ พวกนางจะพิจารณาอย่างพิถีพิถันแล้วค่อยกลับไปทำตามอีกที ชุดที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนสวมใส่วันนี้ชวนให้คนดวงตาทอประกายอีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นชุดฤดูหนาว แต่ไม่รู้ว่าใช้ผ้าแบบใด แม้จะหนาทว่าใส่แล้วไม่ดูตัวบวม ช่วงล่างเป็นกระโปรงผ้าโปร่งร้อยจีบลากพื้น เพิ่มเอกลักษณ์ตรงเอวเป็นสายคาดเอวผืนกว้างรูปแบบคล้ายของบุรุษ ขับเน้นเอวคอดอรชร บนชายกระโปรงปักลายดอกฝูหลิงรูปแบบภาพวาดน้ำหมึกจางๆ ระหว่างขยับตัว ลายบุปผากึ่งผลุบกึ่งโผล่ ประหนึ่งให้คนได้กลิ่นหอมสง่างาม ท่อนบนเป็นเสื้อผ่าหน้าสีเขียวน้ำหมึก ตรงแขนเสื้อปักลายบุปผาสีเดียวกัน ส่วนทรงผมเองก็เกล้ามวยดอกโบตั๋นคล้อยซึ่งไม่ซ้ำแบบใคร คลุมบ่าทับด้วยขนเตียวสีขาว ให้กลิ่นอายใจกว้างสูงศักดิ์
วันนี้อวี้ฉือจิ้งโหรวเองก็แต่งตัวเป็นอย่างดี ตามติดอยู่ข้างหลังญาติผู้พี่ ถ้าหากเป็นสมัยก่อนเวลามีอวี้ฉือจิ้งโหรวอยู่ด้วย ญาติผู้น้องมักจะดูโดดเด่นกว่าเสมอ ทำให้มองไม่ออกถึงความงามของอวี้ฉือเฟยเยี่ยน
มิฉะนั้นตอนแรกรัชทายาทก็คงไม่มีทางเข้าใจผิดคิดว่าคนที่น้องรองตนเองต้องตาคืออวี้ฉือจิ้งโหรว แต่ตอนนี้ความงามอันโดดเด่นเฉพาะตัวของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนถูกหล่อเลี้ยงเพิ่มพูนตามวันเวลาสงบสุข ค่อยๆ เปิดเผยให้เห็นออกมา บรรยากาศผ่อนคลายสง่างามเช่นนั้น อวี้ฉือจิ้งโหรวจะเทียบเคียงได้อย่างไร
ยามนั้นกลับมีเพียงไม่กี่คนที่เคลื่อนสายตามองไปทางอวี้ฉือจิ้งโหรวที่หน้าตาน่ารักอ่อนหวาน
เว่ยเซวียนซื่อเองก็จับจ้องอวี้ฉือเฟยเยี่ยนที่ค่อยๆ ก้าวเดินมา มองประเมินขึ้นลงรอบหนึ่ง ก่อนลุกขึ้นเดินเข้าหา คารวะทักทายอวี้ฉือเฟยเยี่ยน จูงมือนางพาเดินไปยังโต๊ะหลักริมหน้าต่างโรงน้ำชาอย่างสนิทสนม
เว่ยเซวียนซื่อผู้นี้กลับเป็นผู้มีฝีมือด้านดีดหนังยาง รู้จักยืดหดอย่างเป็นธรรมชาติ นับตั้งแต่การซ้อมรบที่หนานลู่กงถูกเซียวอ๋องลอบตบหน้าอย่างแรง ระยะนี้หนานลู่กงก็เก็บตัวไม่น้อย ไม่กล้าผลีผลามเป็นการชั่วคราว
คนมีตาล้วนมองออกว่าสองคนนี้ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ช่วงเวลานี้สองบุรุษองอาจต่อกรกันอยู่ที่ไหวหนาน ไม่มีใครทำอะไรใครได้ แต่ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างพากันแยกยืนแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจนแล้ว
แต่เว่ยเซวียนซื่อผู้นี้กลับคล้ายไม่สนใจการต่อกรกันของบุรุษสักนิดเดียว ปฏิบัติต่อชายารองอย่างไร้ความตะขิดตะขวง สนิทสนมใกล้ชิด
ถ้าหากไม่ได้อ่านนิสัยของเว่ยเซวียนซื่อทะลุปรุโปร่งแต่เนิ่นๆ จะรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีอ่อนน้อมถ่อมตนผู้หนึ่งจริงๆ
ขบวนแห่เทพมังกรยังไม่เริ่มขึ้น ทุกคนต่างนั่งจิบชากินของว่าง สนทนาเรื่อยเปื่อยอยู่ในโรงน้ำชา พูดกันถึงเรื่องประเดี๋ยวเห็นขบวนแห่เทพมังกรแล้วจะขอพร
หนึ่งในบรรดาฮูหยินดูแล้วใจร้อนอยากประจบสอพลอหนานลู่กงฮูหยิน เพิ่งพูดไม่กี่คำก็จงใจวกหัวข้อสนทนาไปที่เรื่องการซ้อมรบ “บุตรชายอายุเจ็ดขวบของข้าตั้งปณิธานอยากเป็นแม่ทัพทหารกองเรือเสียแล้ว โด่งดังบนคลื่นสมุทรอย่างหนานลู่กงมิใช่น่าเกรงขามมากหรอกหรือ วันนี้ยังขอข้าว่าถ้าเจอกับเทพมังกร ช่วยขอพรคุ้มครองให้เขาได้เป็นแม่ทัพในอนาคตด้วย!”
สตรีกลุ่มนี้ไม่รู้เรื่องเบื้องหลังของการซ้อมรบ จึงหลงคิดว่าหนานลู่กงคว้าชัยชนะอย่างงดงาม ไม่อาจคาดคิดได้ว่าจะประจบสอพลอผิดจุด
เว่ยเซวียนซื่อยกมุมปากน้อยๆ เอ่ยนิ่งๆ “บุตรชายของเจ้ามีปณิธานที่ดีนัก” แล้วไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
ตอนนั้นเองบนถนนเปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้นมา การแสดงกายกรรมก่อนหน้าขบวนแห่เริ่มต้นขึ้นแล้ว
บุรุษแข็งแรงรูปร่างสูงใหญ่แปดคนเปลือยท่อนบน กล้ามเนื้อหัวไหล่ปูดนูน แบกโครงไม้ที่มีบุรุษสองคนนอนอยู่ ยกขาขึ้นเตะลูกเหล็กที่ขนาดใหญ่ราวไหใบใหญ่ส่งให้กันไปมา เว่ยเซวียนซื่อร้องเอ๊ะออกมา จับมืออวี้ฉือเฟยเยี่ยนชี้ลงไปเบื้องล่างแล้วเอ่ย “น้องหญิงดูสิ คนพวกนี้เรี่ยวแรงเยอะนัก เอ๊ะ ลูกเหล็กนี้ค่อนข้างคล้ายกับโล่เหล็กในการซ้อมรบหรือไม่”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนมองตามไป ลูกเหล็กนั้นคล้ายกับลูกเหล็กในการซ้อมรบอยู่บ้างจริงๆ เพียงแค่ขาดมีดปลายแหลมน่ากลัวพวกนั้น นางเพิ่งจะคิดขึ้นมา หัวใจกลับกระตุก ชะงักงันเล็กน้อย ก่อนหันหน้าไปทางเกวียนเล่มใหญ่ด้านหลังที่มีคนสวมชุดเจ้าแม่กวนอินกับเด็กรับใช้นั่งอยู่ “วันนั้นข้าไม่สบาย ไม่ได้ร่วมชมการซ้อมรบ ไม่ทราบหน้าตาของลูกเหล็กที่ว่า พี่หญิง ท่านดูสิว่าเจ้าแม่กวนอินทางด้านนั้นถึงจะงดงามจริงๆ…”
เว่ยเซวียนซื่อได้ยินแล้วหรี่ตาลงพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก หันหน้าไปมองเกวียนบุปผาแห่เจ้าแม่กวนอินทางด้านนั้นแทน
กายกรรมในวันนี้ไม่ได้จัดขึ้นมาเฉยๆ ถึงแม้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจะตอบสนองทันท่วงที แต่ถูกถามเข้าใส่กะทันหันเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนที่ฉลาดกว่านี้ก็จะรับมือไม่ทันจนเผยพิรุธอยู่ดี
ตอนนี้เว่ยเซวียนซื่อสามารถมั่นใจในเรื่องหนึ่ง…ชายารองจวนเซียวอ๋องผู้นี้ วันนั้นจะต้องอยู่ในการซ้อมรบด้วยอย่างแน่นอน!
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบ E-book ฉบับเต็มวันที่ 27 มีนาคม 2568)