เขาไม่รู้ว่าคุณหนูอวี้ฉือที่องครักษ์สองคนพูดนั้นหมายถึงผู้อื่น เอาแต่โกรธแค้นอวี้ฉือจิ้งโหรวที่ถูกจับมัดอยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าน้องสาวตนเองเสิ่นหย่าจิ้งทำตัวขายหน้า ไร้ความสำรวมของคุณหนูในห้องหอ วิ่งไปขอร้องฮ่องเต้ด้วยตนเอง ผลลัพธ์เล่า? กลับสู้สตรียากจนจากตระกูลตกอับของราชวงศ์ก่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ!
แต่ในเมื่อประกาศนามเซียวอ๋องออกมาแล้ว เขาไม่อาจไม่ไว้หน้าองค์ชายรองแห่งต้าฉี จึงสั่งให้คนหยุดมือ ก่อนประสานหมัดเอ่ยด้วยปากยิ้มตาไม่ยิ้ม “ในเมื่อเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเซียวอ๋อง ย่อมต้องเข้าใจน้ำหนักของคำว่า ‘กฎหมาย’ สองพยางค์นี้ กองกำลังสิบหกองครักษ์ของข้ารับผิดชอบความปลอดภัยของเมืองหลวง วันนี้ได้ยินคนรายงานว่าอวี้ฉือจิ้งโหรวเป็นกบฏของราชวงศ์ก่อน ซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงหาโอกาสสังหารขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเรื่องใหญ่ ยังคงต้องจับตัวเข้าคุกไปไต่สวนโดยละเอียด! ถ้าหากเซียวอ๋องต้องการตัวคน ก็ขอเชิญไปที่จวนจิ้งคังอ๋อง สนทนาโดยละเอียดกับว่าที่พ่อตาของพระองค์ดีๆ แล้วกัน!”
พูดจบก็สั่งให้คนของตนเองยกตัวอวี้ฉือจิ้งโหรวที่ถูกปิดปากอยู่โยนขึ้นรถม้าแล้วเคลื่อนตัวจากไป
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นดังนั้นก็เอ่ยอย่างร้อนใจ “พวกท่านรีบขวางพวกเขาเร็ว จะปล่อยให้พวกเขาพาตัวจิ้งโหรวไปไม่ได้!”
สองคนนั้นประสานหมัดเอ่ยขออภัย “เมื่อครู่นี้คุณหนูอวี้ฉือบอกแค่ว่าให้พวกเขาเลิกทุบตี ข้าน้อยทำตามคำสั่งแล้ว ถ้าหากคุณหนูยังมีคำขออื่น ขออภัยที่ข้าน้อยไร้ความสามารถ ขอให้คุณหนูไปทูลเซียวอ๋องจะเหมาะสมกว่าขอรับ…”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนนึกไม่ถึงว่าสองคนนี้จะทำงานได้ทื่อตรงเพียงนี้ ถึงกับทำตามที่บอกไว้ทุกพยางค์ ทว่าก็ตระหนักว่าพวกเขาสองคนทำอะไรกับหัวหน้ากองกำลังทหารม้าสิบหกองครักษ์ไม่ได้จริงๆ จึงขมวดคิ้วเข้าไปช่วยประคองยวนยางกับท่านลุงขึ้นมา สองคนนี้ต่างได้รับบาดเจ็บไม่เบา ยังดีที่ผู้ใต้บังคับบัญชาเซียวอ๋องสองคนนั้นคล้ายจะรู้สึกขอบคุณน้ำชาของอวี้ฉือเฟยเยี่ยน จึงเสนอตัวช่วยนางประคองทั้งสองคนกลับบ้าน ทั้งยังตามหมอมาให้
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจิตใจพะวงหาสองฝั่ง รู้ว่าเด็กสาวอย่างอวี้ฉือจิ้งโหรวถูกขังคุก จะเจอกับการถูกเหยียดหยามเช่นไรล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น ตอนนี้เมื่อเห็นว่ายวนยางกับท่านลุงไม่มีอันตรายถึงชีวิตแล้ว นางจึงตามทั้งสองคนไปพบเซียวอ๋อง
ระหว่างนั่งรถม้าตามทั้งสองคนกลับมาเหยียบจวนเซียวอ๋องอีกครั้ง อวี้ฉือเฟยเยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก ลอบให้กำลังใจตนเอง ตอนนี้อยู่ในเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรือง แต่นางกลับรู้สึกว่าสถานที่ซึ่งดูคล้ายหรูหราสูงศักดิ์แห่งนี้กลับซ่อนเร้นมังกรร้ายในบึงลึกเอาไว้ ชวนให้คนหวาดผวาเสียยิ่งกว่าสถานที่ยากจนข้นแค้นอย่างภูเขาไป๋ลู่ วันเวลาอันไม่สงบบนภูเขาไป๋ลู่สมัยก่อนเคยมีช่วงที่อันตรายยิ่งกว่าตอนนี้ แต่เวลานั้นนางมีผู้ใต้บังคับบัญชาให้สั่งการได้ ไม่เคยรับศึกตามลำพังตัวเปล่าเช่นนี้มาก่อน
แต่นางรู้ว่าไม่นานจากนี้จะต้องเผชิญกับสงครามโหดร้ายศึกหนึ่ง ซ้ำนางยังไม่อาจถอยหลังกลับ
ตอนที่ก้าวเข้าจวนอ๋อง ดวงอาทิตย์ลับลาไปทางทิศตะวันตกแล้ว อวี้ฉือเฟยเยี่ยนถูกสาวใช้ในจวนอ๋องนำทางมาจนถึงข้างบ่อน้ำพุร้อนที่สวนดอกไม้ด้านหลัง
วันนี้เซียวอ๋องหยุดงาน น่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ริมบ่อน้ำพุร้อน จิบชาใสกระจ่างพลางเพลิดเพลินกับเสียงพิณที่นักบรรเลงพิณหญิงดีดคลอ ช่างใช้ชีวิตอย่างสบายใจยิ่ง
เรือนผมยาวที่สยายลงมาของเขาเปียกชื้นเล็กน้อย สวมชุดคลุมยาวผ้าป่านตัวหลวมสีเรียบ เพียงผูกปมที่เอวง่ายๆ เท้าเปล่าสวมรองเท้าไม้สักคู่หนึ่ง เคาะเท้าบนพื้นไปตามจังหวะเสียงพิณโบราณที่คลอเอื่อยอยู่เบาๆ
ตอนที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนมาถึงจวน นางขอร้องซ้ำๆ ให้หัวหน้าขันทีรีบพานางไปพบเซียวอ๋อง แต่ไม่คาดคิดว่าจะมาเห็นเขาในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยเช่นนี้ ถึงแม้เขาจะสวมชุดคลุมตัวยาว แต่ว่านั่งขัดสมาธิ ต้นขากำยำที่มองเห็นมัดกล้ามเนื้อสองข้างนั้นเปิดเผยออกมาจนหมด นางอดสงสัยไม่ได้ว่าใต้ชุดคลุมยาวของเขาคล้ายว่าจะไม่ได้สวมใส่สิ่งใด…
ต่อให้เป็นอวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็รู้สึกหน้าแดงขึ้นมา อยากจะหงุดหงิด แต่ตนเองเป็นคนเรียกร้องขอพบเซียวอ๋องเอง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นนางที่รบกวนความสงบของท่านอ๋อง ไม่อาจต่อว่าสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยของเขาได้
เซียวอ๋องผู้นั้นคล้ายได้ยินช่วงทำนองที่น่าสนใจ นิ้วซึ่งวางอยู่บนเข่าจึงเคาะตามจังหวะเบาๆ เปลือกตาหลุบลงเล็กน้อย ขนตาดกดำทิ้งเงาปรกลงใต้เปลือกตา ถึงแม้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจะร้อนใจ แต่ก็ตระหนักว่าไม่อาจเสียมารยาทต่อหน้าองค์ชายรองผู้คาดเดาได้ยากผู้นี้ จึงคุกเข่าก้มหน้าลง เฝ้ารออยู่ด้านข้างเงียบๆ
ครู่ใหญ่จากนั้น นักบรรเลงพิณหญิงดีดเสียงดนตรีตัวสุดท้าย ก่อนอุ้มพิณขึ้นมาแล้วถอยจากไปเงียบๆ เซียวอ๋องผู้นั้นถึงได้ลืมตาขึ้นช้าๆ เอ่ยว่า “คุณหนูอวี้ฉือ ไม่ได้พบหน้ากันเสียนาน”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 2568)