บทนำ
หลง…หลงแน่ๆ!
เด็กหญิงร่างเล็กเหลียวซ้ายทีขวาทีอย่างจนปัญญา มองไปทางใดก็ไม่พบเชฟที่ตนแอบติดรถตามมาด้วยสักนิด ทั้งที่เธอจำได้แม่นว่านัดแนะมาเจอกันตรงนี้และเวลานี้นี่นา
ลลิสสาคือเจ้าหญิงน้อยวัยเพียงสิบเอ็ดขวบผู้เป็นแก้วตาดวงใจของรานีอุษมา ด้วยความที่ ‘ซุกซนเกินเด็กผู้หญิง และมีความคิดอ่านเกินเด็กในวัยเดียวกัน’ ทำให้เจ้าหญิงน้อยมีเพื่อนไม่มากนัก อีกทั้งเพื่อนที่มียังล้วนแล้วแต่เป็นเด็กผู้ชาย หากไม่ใช่ลูกขององครักษ์ ก็เป็นลูกคนงานในตำหนักฤดูร้อนที่รานีอุษมาพำนักอยู่กับหลานสาว ดังนั้นพอสบโอกาสเมื่อใดเจ้าหญิงน้อยจึงมักจะแอบหลบออกนอกวัง ติดรถคนครัวมาซื้อของสดที่ตลาดเป็นประจำ และวันนี้ก็ไม่ต่างกัน
หลังจากนัดแนะเวลากับหัวหน้าเชฟแล้ว เจ้าหญิงน้อยก็เดินเที่ยวตลาดชายแดนตามลำพังอย่างเพลิดเพลิน เพราะเธอมาบ่อย จึงคุ้นชินกับพ่อค้าแม่ค้าที่นี่แล้ว ตลาดชายแดนเต็มไปด้วยรถราและร้านค้ามากมาย ลูกค้าในตลาดส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้หญิง แต่วันนี้กลับมีชายฉกรรจ์รูปร่างใหญ่โต หน้าตาดุดันเดินปะปนอยู่ในตลาดจนผิดสังเกต
แม้ชายเหล่านั้นจะสวมเสื้อผ้าปอนๆ แต่ท่าทางการเดินเหินกลับเป็นจังหวะมั่นคงเหมือนพวกทหารหรือไม่ก็คนที่เคยผ่านการรบมาก่อน ดูแล้วไม่ใช่คนทั่วไปแน่ๆ ลลิสสาแกล้งหยิบรองเท้าสานบนแผงขึ้นมาดู แต่สายตากลับเหลือบมองรอยสักรูปเสือตรงข้อมือชายฉกรรจ์ที่ยืนห่างจากตนไปเล็กน้อย
นักรบภูเขา!
ทูลกระหม่อมย่าเคยเล่าว่าคนกุณฑ์ชาลาเป็นคนภูเขา มีรูปร่างใหญ่โต แข็งแรง แม้แต่ผู้หญิงก็รูปร่างหนา ไม่บอบบางเหมือนคนพื้นราบแบบพูรัม
ภูมิประเทศที่โอบล้อมไปด้วยแนวเทือกเขาสลับซับซ้อน ทำให้ในอดีตความเจริญก้าวหน้าแทรกซึมเข้าสู่กุณฑ์ชาลาช้ากว่าพูรัม แต่ก็มีข้อดีตรงที่ทำให้กุณฑ์ชาลารอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกในยุคล่าอาณานิคมรุ่งเรือง เพราะพื้นที่ที่ยากต่อการโจมตีทำให้กองทหารต่างชาติไม่สามารถยึดครองกุณฑ์ชาลาได้เหมือนประเทศติดทะเลอย่างพูรัม
‘ย่าว่าอีกเหตุผลสำคัญคือสมัยก่อนมีนักรบภูเขา’
‘นักรบภูเขาคือใครเพคะ’
‘เป็นนักรบที่ถูกฝึกมาให้ทนทานต่อทุกสภาพอากาศ ว่ากันว่าคนพวกนี้มักมีรอยสักรูปเสือและพกเขี้ยวเสือติดตัว เชื่อกันว่าเขี้ยวเสือจะช่วยกันภัยร้ายในป่า เสียดายที่ภายหลังถูกปราบอย่างหนัก เพราะมีเรื่องขัดแย้งกับมหาราชาของราชวงศ์ก่อน จึงถูกใส่ความว่าเป็นกบฏและจับไปประหาร’
‘แล้วไม่มีนักรบภูเขาหลงเหลือเลยเหรอเพคะทูลหม่อมย่า’
‘ยังมีอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนเป็นกองโจรใต้ดิน ใช้ชีวิตปะปนกับชาวบ้านทั่วไป’
‘ถ้างั้นสมัยโบราณตอนพูรัมรบกับกุณฑ์ชาลา ส่วนใหญ่พูรัมแพ้รึเปล่าเพคะ’
‘ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ พูรัมอาศัยวิทยาการอย่างพวกปืนใหญ่และระเบิดจากนักเดินเรือทางทะเล แต่พวกกุณฑ์ชาลาอาศัยว่ารูปร่างใหญ่โตแข็งแรง และมีชัยภูมิดีกว่าจึงรบเก่งต่างหาก’
‘ทูลหม่อมย่าเคยไปกุณฑ์ชาลาไหมเพคะ สวยเหมือนในรูปไหม’
‘พูรัมสวยกว่าเยอะ’
หากทูลกระหม่อมย่าพูดแบบนี้แล้ว ความเป็นจริงก็คือตรงกันข้าม เหตุผลคงเป็นเพราะไม่อยากให้เธอซุกซน ข้ามชายแดนไปกุณฑ์ชาลาต่างหาก
‘ลิสสาอยากไปกุณฑ์ชาลาเพคะ’
‘ไปทำไมกัน มีแต่พวกคนเถื่อน คนภูเขาทั้งนั้น พวกกุณฑ์ชาลาเกลียดต่างชาติหัวทองตาฟ้าที่สุด’
‘แต่ลิสสาเป็นคนพูรัม ผมดำตาสีน้ำตาลเพคะ’
‘ดู๊ดูนะมันจู เลี้ยงกันยังไง เถียงคำไม่ตกฟากเลย’
รานีอุษมาผินหน้าไปทางพี่เลี้ยงร่างอวบของเจ้าหญิงลลิสสา อีกฝ่ายจนคำพูดจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ
‘ลิสสาแค่อยากเปิดหูเปิดตาบ้างนี่เพคะทูลหม่อมย่า’
‘ตอนนี้กุณฑ์ชาลาวุ่นวายจะตาย มหาราชาประชวร บรรดาเชื้อพระวงศ์ก็แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเอง ลิสสาเป็นเจ้าหญิงพูรัม ไปต่างบ้านต่างเมืองแบบนั้น คิดไหมว่าย่าจะห่วงแค่ไหน’
‘ลิสสาปลอมตัวเป็นชาวบ้านได้เพคะ’
‘ดูเถอะมันจู เด็กคนนี้เคยกลัวเสียที่ไหน’
แม้ถูกตำหนิ แต่เจ้าหญิงน้อยกลับคลี่ยิ้มแฉ่ง ดวงตากลมโตสุกใสบนใบหน้ารูปไข่ส่งให้เด็กหญิงร่างเล็กไม่ต่างจากตุ๊กตามีชีวิต แม้ไม่อาจข้ามชายแดนไปกุณฑ์ชาลา แต่อย่างน้อยการเดินเที่ยวตลาดชายแดนก็สร้างความเพลิดเพลินให้เด็กหญิงที่ต้องขลุกอยู่แต่ในพระราชวังฤดูร้อนมาหลายปีได้
เพราะวันนี้ไม่เจอเชฟที่นัดกันไว้ เจ้าหญิงน้อยจึงเดินกลับไปยังลานจอดรถ แต่แล้วระหว่างทางเธอดันพบขอทานหญิงขาขาดกำลังอุ้มลูกน้อยด้วยมือข้างหนึ่งและใช้มืออีกข้างไถตัวเองกับกระดานไม้ไปขออาหารที่ร้านขายเนื้อแพะย่างเสียบไม้
“ไปข้างหน้าโน่น ไป๊!”
ขอทานหญิงตื๊ออยู่ครู่หนึ่งก็ไถกระดานหลบออกจากหน้าร้านท่ามกลางเสียงร้องแผดจ้าของทารกน้อยในอ้อมแขน เจ้าหญิงลลิสสาเห็นแล้วสงสารจึงจ่ายเงินซื้อเนื้อแพะย่างมาห้าไม้ แล้วเดินกึ่งวิ่งตามขอทานแม่ลูกอ่อนเข้าไปในตรอกซึ่งส่งกลิ่นเน่าเหม็นจากขยะที่กองสุมกันอยู่ข้างทาง