“เราขอยืมโทรศัพท์ได้ไหม เราพลัดหลงกับพ่อที่ตลาด”
ชายคนนั้นมองริมฝีปากเล็กที่สั่นระริกและหยาดน้ำตาที่ทำทีจะหล่นจากขอบตาของเด็กหญิงตัวน้อยอายุน่าจะไม่ถึงสิบขวบก็ตกใจ
“เอ่อ หนูไม่ต้องกลัว พวกเราไม่ทำอะไรหนูหรอก”
“พี่ใหญ่ของพวกคุณบังคับเรามา เรากลับไม่ถูก”
ชายคนนั้นพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ จำยอมยื่นหูโทรศัพท์บ้านให้เด็กหญิงแปลกหน้า แต่ยังไม่วายยืนปักหลักเยื้องอยู่ทางด้านหลังละม้ายกำลังจับตาดูอยู่ เจ้าหญิงน้อยจึงรีบกดเบอร์โทรศัพท์ไปยังปลายทาง
“ลิสสาเองค่ะ…พ่อ”
“เจ้าหญิงอยู่ที่ไหนพ่ะย่ะค่ะ ลูกน้องของเชฟมีเรื่องกับพวกนักเลงในตลาด เชฟเข้าไปช่วยเลยถูกซ้อม พอกลับมาที่รถแล้วไม่พบเจ้าหญิงจึงรีบโทรหากระหม่อม ตอนนี้กระหม่อมอยู่ที่ตลาดแล้ว”
“ลิสสาขอโทษค่ะ…พ่อ”
“ทำไมเรียกกระหม่อมแบบนั้น หรือว่า…”
“ค่ะ…พ่อ”
โค้ดลับระหว่างเจ้าหญิงลลิสสากับกาบีร์ องครักษ์ประจำพระองค์ หากตกอยู่ในอันตรายเจ้าหญิงน้อยจะเรียกกาบีร์ว่า ‘พ่อ’ เพราะเธอมีเพียงรานีอุษมาที่เลี้ยงตนมาแต่เล็ก เป็นทั้งพ่อและแม่ในคนเดียวกัน
“ทรงใช้เบอร์ของพวกมันโทรเข้ามือถือใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ค่ะพ่อ”
“กระหม่อมจะรีบให้คนตามรอยเบอร์นี้ให้เร็วที่สุด ทรงบรรยายสถานที่มาได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ มีจุดเด่นอะไรบ้าง”
“ลิสสาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนค่ะพ่อ รู้แต่ว่าเลยออกจากตลาดพอสมควร เป็นร้านขายของชำ ด้านหน้า…”
ตู๊ด!!!
เสียงสัญญาณขาดหายไป เจ้าหญิงลลิสสามองปลายนิ้วสีเข้มที่กดตัดสัญญาณด้วยความขุ่นเคือง แต่เพราะอยู่ในห้วงเวลาคับขันจึงแสร้งข่มอารมณ์ขุ่นมัวแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างตื่นตระหนก
“ฉันจะพาหนูไปส่งที่ตลาดเอง”
ชายฉกรรจ์คนนั้นตัดบท พาเด็กหญิงแปลกหน้าออกมาถึงแค่หน้าอาคาร ชายอีกคนก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากด้านในแล้วพูดภาษากุณฑ์ชาลารัวเร็วจนเธอฟังไม่ทัน ต้องอาศัยชายอีกคนแปลให้
“พี่ใหญ่อยากให้หนูเข้าไปพบ พี่ใหญ่จะให้รางวัลหนู”
เจ้าหญิงลลิสสาส่ายหน้าหวือ ขืนเดินผ่านม่านสีเข้มเข้าไปข้างในเธอคงไม่ได้ออกมาอีก แค่เธอแข็งใจฝืนความกลัวพาคนเจ็บมาส่งถึงที่หมายก็นับว่าใช้ความกล้าหาญมากแล้ว
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เรื่องเล็กน้อย เราต้องรีบไปแล้ว พ่อเรารออยู่”
“แต่พี่ใหญ่ต้องการพบหนู”
“งั้นให้เขาออกมาดีกว่า เราไม่เข้าไปหรอก”
ครู่หนึ่ง ‘พี่ใหญ่’ ก็ถูกพยุงเดินออกมาหาเด็กหญิงตัวเล็กที่ยืนเหงื่อซึมเต็มหน้าผาก ทำทีเชิดหน้ายืนขึงไหล่ตรงอย่างทระนง ทั้งที่ดวงตาสุกใสเจือความกังวลทำให้เขาลอบชื่นชมในใจ ก่อนยื่นมือหนาไปตรงหน้า
“แทนคำขอบคุณ”
เจ้าหญิงน้อยหรี่ตามอง ‘เขี้ยวสัตว์’ บนฝ่ามือนั้นด้วยสีหน้างุนงง
“เขี้ยวเสือ…ฉันให้!”
“พี่ใหญ่!”
ชายฉกรรจ์ที่ยืนล้อมอยู่บริเวณนั้นร้องเสียงหลง มองเขี้ยวเสือในมือ ‘พี่ใหญ่’ ด้วยท่าทีตระหนก แต่พอเห็น ‘พี่ใหญ่’ ส่งสายตาปราม พวกเขาจำต้องก้มหน้างุด
“รับไปสิ”
“ไม่เอาหรอก”
“เมื่อกี้ยังขอรางวัลอยู่เลย”
“แล้วไอ้นี่ขายได้ราคาไหม”
เขาหัวเราะเสียงแผ่ว หากไม่บาดเจ็บเสียงหัวเราะคงไม่ขาดช่วงแบบนี้
“ถ้าจะขายก็เอาคืนมา เอาเงินไปแทน”
เจ้าหญิงลลิสสาก้มดูเขี้ยวเสือสีขาวออกเหลืองในมือหนาอย่างสนใจก่อนหยิบมาพลิกเล่น
“ขอบใจนะลุง”
ทูลกระหม่อมย่าเคยตรัสว่าพวกนักรบภูเขาจะพกเขี้ยวเสือติดตัว หรือว่าเขาจะเป็น…
“ทำไมลุงพกเขี้ยวเสือเหมือนพวกนักรบภูเขาของกุณฑ์ชาลาล่ะ”
เรียวคิ้วหนาเลิกขึ้น ชายฉกรรจ์ตัวใหญ่ซึ่งยืนล้อมกรอบเป็นป้อมปราการมีสีหน้าตกใจเช่นเดียวกัน
“อายุไม่น่าเกินสิบขวบ รู้จักนักรบภูเขาได้ยังไง”
“ก็ทู…ย่าเคยเล่าให้เราฟัง ย่าบอกว่านักรบภูเขาเก่งมาก ใครก็ล้มไม่ได้ เสียดายที่มีเจ้านายผิด เลยหายสาบสูญ”
“ก็แค่เรื่องเล่าในตำนาน”
“ถ้าลุงไม่ใช่นักรบภูเขาของกุณฑ์ชาลา แล้วทำไมลุงพกเขี้ยวเสือ”
“เป็นคนภูเขา มีเขี้ยวเสือไม่เห็นจะแปลก”
“แต่มันดูมีค่ามาก น้องๆ ของลุงยังตกใจที่ลุงให้เขี้ยวเสือเราเลย”
“แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันเป็นนักรบภูเขา เธอจะแจ้งตำรวจรึไง”
“เราไม่แจ้งตำรวจหรอก”
แต่จะบอกองครักษ์ให้มาลากคอเข้าคุกให้หมด
เจ้าหญิงลลิสสาเข่นเขี้ยวในใจ อุตส่าห์แบกคนตัวใหญ่มาเป็นกิโล หากปล่อยให้ผู้ชายคนนี้หลุดรอดเงื้อมมือไปได้ อย่ามาเรียกเธอว่าเจ้าหญิงลลิสสาเลย
คอยดูเถอะ! จะให้คุณกาบีร์จับไปทรมาน มือข้างไหนเอามีดจิ้มเอว จะบอกคุณกาบีร์หั่นให้กุด
“เราไปได้รึยังลุง”
เจ้าหญิงน้อยเค้นเสียงขึงขัง ฝืนวางมาดราวกับผู้ใหญ่ ทั้งที่สูงไม่ถึงข้อศอกของคนหน้าดุด้วยซ้ำ
“เราน่ะชื่ออะไร”
“แล้วลุงล่ะชื่ออะไร คงไม่ได้ชื่อ ‘พี่ใหญ่’ หรอกใช่ไหม”
คนเจ็บหัวเราะเต็มเสียงกับคู่ต่อกรจอมแสบพลางยกมือขึ้นกุมบั้นเอว
“เธอไปเถอะ คนของฉันจะไปส่ง”
แล้วชายฉกรรจ์สองคนก็พาเจ้าหญิงลลิสสาลัดเลาะไปส่งแถวตลาดที่มีผู้คนพลุกพล่าน