“พวกฉันส่งแค่นี้ หนูเดินตรงไปอีกหน่อยก็ถึงหน้าตลาดแล้ว”
“อืม ขอบใจนะ”
เจ้าหญิงลลิสสาแจกรอยยิ้มแฉ่งให้ แต่ก่อนจากกันจู่ๆ ชายคนหนึ่งก็พูดขึ้น
“เก็บเขี้ยวเสือไว้ให้ดีๆ อย่าขายนะ”
“มีค่ามากเหรอ” ชายสองคนนั้นพยักหน้า “งั้นพวกลุงเก็บไว้เถอะ เราไม่เอาหรอก”
“ไม่ได้ๆ ขืนพี่ใหญ่รู้ว่าพวกเราขัดคำสั่ง มีหวัง…”
ชายคนนั้นเม้มปาก หยุดคำพูดตัวเองไว้ทัน ก่อนจะกล่าวอำลาเด็กหญิงตัวน้อย แล้วรีบสาวเท้ากลับทางเดิม พอแน่ใจว่าอยู่ตามลำพังแล้วเจ้าหญิงลลิสสาก็รีบเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือกดโทรออกทันที
“คุณกาบีร์ ลิสสาเองค่ะ”
เธอบอกจุดที่ตนยืนอยู่ รอไม่นานองครักษ์หนุ่มก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบมาหา
“เป็นยังไงบ้างพ่ะย่ะค่ะ บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า”
“ลิสสาไม่เป็นอะไร แต่มีเรื่องจะให้คุณกาบีร์ทำ”
หลังเท้าความเรื่องที่เกิดขึ้นเจ้าหญิงน้อยก็อาสาพาองครักษ์และตำรวจเกือบยี่สิบนายย้อนกลับไปยังร้านขายของชำแห่งนั้น ทว่าเมื่อไปถึงกลับพบว่าอาคารพาณิชย์ดังกล่าวปิดประตูแน่นหนาเหมือนไม่มีคนอยู่
“หายไปไหนแล้ว เมื่อกี้ยังยืนออกันอยู่ข้างหน้าเลย” เจ้าหญิงลลิสสาเอ่ยอย่างหัวเสีย
“พังประตูเข้าไป”
ตำรวจใช้ชะแลงเหล็กพังประตูเหล็กม้วนตามคำสั่ง แต่เมื่อเข้าไปในอาคารได้กลับไม่พบผู้ใด ข้าวของข้างในถูกวางระเกะระกะและเอียงกระเท่เร่เหมือนถูกทิ้งร้าง ไม่ได้เป็นระเบียบเหมือนเมื่อครู่ ทำให้เหล่าตำรวจทหารที่มาด้วยพากันจับจ้องเด็กหญิงราวกับว่าเธอเป็นเด็กเลี้ยงแกะ
“ลิสสามาที่นี่จริงๆ นะคุณกาบีร์”
“พวกมันอาจจะหนีไปแล้วก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าหญิงลลิสสากวาดตามองไปรอบๆ อย่างขัดใจ ถ้าจับตัวคนร้ายได้อย่างน้อยทูลกระหม่อมย่าคงบ่นเธอน้อยลงเพราะอย่างน้อยตนก็สร้างความดีความชอบบ้าง แต่นี่นอกจากจับคนร้ายไม่ได้แล้ว เธอยังถูกมองเป็นเด็กเลี้ยงแกะอีก มีหวังคงถูกกักบริเวณเป็นเดือนแน่ๆ
“กระหม่อมจะลองไปสอบถามชาวบ้านแถวนี้ดูพ่ะย่ะค่ะ” กาบีร์หายไปครู่หนึ่งก็เดินส่ายหน้ากลับมา“คนพวกนั้นมาปักหลักที่นี่ไม่กี่วันก่อน แต่เพิ่งนั่งรถจากไปเมื่อครู่นี่เองพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าหญิงลลิสสากวาดมองบริเวณรอบๆ อีกครั้งก่อนถอนหายใจอย่างจำนน
“กลับกันเถอะค่ะคุณกาบีร์ ลิสสาเหนื่อยแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“คุณกาบีร์ช่วยปิดเรื่องนี้ไว้ได้ไหมคะ”
“เอ่อ…ตอนกระหม่อมออกมาจากวัง คาดว่ารานีจะทรงทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
แย่แล้ว…กักบริเวณแหงๆ
เจ้าหญิงลลิสสาหน้าง้ำ เดินไปขึ้นรถโฟร์วีลส์ซึ่งเคลื่อนเข้ามาจอดรออยู่หน้าอาคาร โดยมีองครักษ์หนุ่มก้าวตามขึ้นไป หลังจากขบวนมหาดเล็กและตำรวจเคลื่อนออกไปครู่หนึ่ง กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ก้าวออกมาจากที่ซ่อน หรือจะเรียกให้ชัดคือออกมายืนที่ระเบียงของอาคารซึ่งตั้งอยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามร้านชำนั่นเอง
“เด็กคนนั้นเป็นใคร” พี่ใหญ่ถามเสียงเครียด
“กระหม่อมจะสอบถามให้พ่ะย่ะค่ะ” ผู้เป็นลูกน้องตอบรับอย่างนอบน้อมด้วยเพราะฐานะแท้จริงของพี่ใหญ่นั้นเป็นถึงมกุฎราชกุมารของกุณฑ์ชาลา
หลังรับคำแล้ว เขาก็จัดการโทรศัพท์ไปหาชายชราซึ่งยืนห่างจากร้านชำไม่ไกลนัก อาคารแถวนี้ล้วนเป็นที่อยู่อาศัยของคนกุณฑ์ชาลาที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานและทำมาหากินในพูรัม บางคนย้ายมาค้าขาย แต่บางคนก็เป็นคนที่ ‘พี่ใหญ่’ ส่งเข้ามาแทรกซึมในพูรัม เพียงครู่เดียวเขาก็ได้รับคำตอบ
“เด็กผู้หญิงคนนั้นคือเจ้าหญิงลลิสสา หลานสาวของรานีอุษมาพ่ะย่ะค่ะ”
ราชนิกุลหนุ่มหัวเราะหึๆ ยามหวนนึกถึงเรื่องราวของเจ้าหญิงคนนี้ เจ็บใจนักที่ถูกเด็กแสบพาพรรคพวกบุกมาจับตนเอง หากเขาไม่บาดเจ็บเพราะถูกศัตรูตามล่า คงไม่ถูกเจ้าหญิงน้อยเอาคืนเสียแสบสันแบบนี้
“กระหม่อมขอถามได้ไหมพ่ะย่ะค่ะว่าเหตุใดพระองค์ถึงมอบเขี้ยวเสือให้กับเจ้าหญิงลลิสสา มันเป็นของโบราณตกทอดมา ทรงหวงแหนมาก กระหม่อมไม่คิดว่า…”
“แล้วใครบอกว่าฉันให้ของจริงไป”
“ถ้างั้นเขี้ยวเสือนั่น…”
“แค่ของเลียนแบบที่บรรจุจีพีเอสติดตามตัวไว้”
มหาดเล็กของเจ้าชายฌาร์มานเลิกคิ้ว “เหตุใดจึงทำเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ทีแรกตั้งใจว่าจะส่งของรางวัลไปตอบแทนที่ช่วยชีวิต แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว แสบแบบนี้ต้องเอาคืน”
เจ้าชายฌาร์มานกดมุมปากด้วยรอยเยาะหยัน ไม่เคยมีใครกล้าลูบคมตนเช่นนี้มาก่อน ยิ่งคนคนนั้นเป็นเด็กหญิงตากลมตัวกะเปี๊ยก ยิ่งทำให้ฌาร์มานรู้สึกคันไม้คันมือ อยากจับเด็กแสบมาฟาดสักสองสามที
“หายดีเมื่อไร คงต้องแวะไปทักทายซะหน่อย!”