ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 1 บทที่ 1 – หน้า 5 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 1 บทที่ 1

5 of 5หน้าถัดไป

อวี๋ไฉ่หลิงจึงปั้นหน้าดุใส่ “หากเก่งกาจเพียงนั้นจริง ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่คงเชิญตัวไปนานแล้ว ยังจะอยู่สถานที่เล็กๆ นี่อีกหรือ” อันที่จริงต่อมาพอกิจการของพ่ออวี๋คนใจจืดใหญ่โตขึ้นก็เริ่มเชื่อเรื่องอำนาจศักดิ์สิทธิ์ทำนองนี้เช่นกัน สิ่งสำคัญคือต้องหาผู้ที่มีฝีมือแท้จริง จะได้ไม่ปักธูปผิดกระถางไหว้เทพผิดองค์

“นี่ก็พูดยากนะเจ้าคะ ท่านแม่บอกพวกเราว่าแม้แต่เทพเซียนเหยียนที่เคยดูนรลักษณ์ให้ฝ่าบาทยังไม่ยอมเป็นขุนนางเลย ตอนนี้เขาก็เร้นกายอยู่ในชนบท ยามปกติเพียงคลุมเสื้อหนังสัตว์นั่งตกปลาเท่านั้น” อาเหมยมีความรอบรู้ไม่เบา

ฝูเติงแย้งอย่างไม่พอใจ “เทพเซียนเหยียนท่านนั้นเดิมเป็นปราชญ์ผู้ศึกษาปรัชญาข่งจื่อ มีผลงานการค้นคว้าเป็นอันดับหนึ่งตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน เรื่องดูนรลักษณ์ตีความคำทำนายทายทักเพียงกระทำในยามว่าง มิได้เป็นหมอดูโดยเฉพาะเสียหน่อย”

อาเหมยจึงจำใจตอบตกลงไปเที่ยวเล่นที่ริมลำธารในอาการหน้าม่อย ผิดกับอาเลี่ยงตัวน้อยที่ดีใจยกใหญ่ อวี๋ไฉ่หลิงจึงจูงพาคู่พี่สาวกับน้องชายออกจากศาลเจ้าไปยังลำธารสายนั้น

ไม่ผิดจากที่คิดไว้ ผู้ซึ่งเล่นสนุกหัวเราะคิกคักกันอยู่ริมธารมีแต่เด็กเล็กกับหนุ่มสาววัยแรกรุ่น ยุคนี้ขนบของชาวบ้านล้วนเรียบง่ายสมถะ การละเล่นของเด็กเล็กก็เพียงแค่หยิบฉวยหินที่มีลักษณะเรียบแบนมาปาให้กระดอนไปบนผิวน้ำ หรือทนหนาวอยู่ในลำธารที่เย็นเฉียบเสียดกระดูกเพื่อจับปูกุ้งขนาดเล็กจิ๋วที่ทึ่มทื่อหลายตัว หรือที่ฟุ่มเฟือยที่สุดก็แค่ลงไปเดินย่ำเล่นไปมาในลำธารด้วยรองเท้าไม้ส้นสูงที่ทำเอง เห็นอาเหมยกับอาเลี่ยงสองพี่น้องเล่นกันอยู่ริมฝั่ง อวี๋ไฉ่หลิงก็ถอยหลังหลายก้าวพลางสอดส่ายสายตาไปโดยรอบ กระทั่งเห็นหินกลมก้อนใหญ่ที่ตากแดดจนแห้งสนิทจึงนั่งลงไป โดยมีฝูเติงตามมาอยู่ด้านข้างเงียบๆ ไม่พูดจา

อวี๋ไฉ่หลิงปรายตามองเขาปราดหนึ่ง อาจู้เป็นคนนิ่งขรึม หากไม่มีเรื่องสำคัญจะไม่พูดเกินจำเป็นแม้ประโยคเดียว ในบรรดาบุตรชายหญิงสามคนน่าจะมีเพียงฝูเติงที่เหมือนมารดา ซึ่งก็หมายความว่าการที่เธอจะสืบข้อมูลเกี่ยวกับตนเองนั้นมีระดับความยากไม่ใช่ธรรมดาเลย อาเหมยกับอาเลี่ยงยังเด็กเกินไปมักตอบไม่ตรงคำถาม ส่วนผู้ที่รู้เรื่องกลับเป็นน้ำเต้าที่เลื่อยปากออก* ถามมากไปก็กลัวว่าจะทำให้อาจู้มารดาของพวกเขาแตกตื่น

 

ยุคนี้เป็นสังคมที่งมงายยิ่ง อวี๋ไฉ่หลิงมาอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่วันก็ค้นพบแล้ว

ตั้งแต่เธอหายป่วย อาจู้เชิญผู้ทำพิธีหญิงสองคนมาขับร้องร่ายรำขอบคุณเทพเจ้า พอในลานกั้นห้องครัวเพิ่ม อาจู้ก็ฆ่าลูกแพะหนึ่งตัว ตลอดจนเซ่นไหว้เทพเจ้าเตาด้วยผลไม้หลายจาน แค่หิมะตกหนักเมื่อสองวันก่อน อาจู้ยังเซ่นไหว้สุราฤดูเหมันต์สองไหด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม ไม่รู้ว่าเพื่อจะขอให้หิมะหยุดโดยเร็ว หรือว่าจะขอให้ตกหนักขึ้นกันแน่ เมื่อวานแสงแดดสดใส หิมะที่สะสมบนพื้นค่อยๆ ละลายหายไปจนเก็บเห็ดเก็บผักได้ อาจู้ก็เชือดเป็ดไก่เป็นๆ อีกหนึ่งคู่ด้วยความยินดี แม้จนบัดนี้อวี๋ไฉ่หลิงยังไม่เคยเห็นเครื่องสังเวยที่เป็นมนุษย์ แต่ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามถามนู่นถามนี่ ที่น่าสงสารเหนืออื่นใดคือจนป่านนี้แม้กระทั่งชื่อของร่างนี้เธอก็ยังไม่รู้เลย

ตอนนี้เองเสียงตะโกนปนหัวเราะก้องของอาเหมยพลันดังมาจากเบื้องหน้า ดูเหมือนมีเด็กชายผู้หนึ่งรังแกอาเลี่ยง อาเหมยจึงเก็บน้ำแข็งที่ยังไม่ละลายก้อนหนึ่งขึ้นจากพงหญ้า ยัดใส่หลังคอเสื้อของเด็กชายผู้นั้นเพื่อแก้เผ็ดแทนน้องชายของตน ส่งผลให้เด็กชายผู้นั้นร้องโวยวายพลางกระโดดโหยงๆ ดุจกุ้งฝอย เรียกเสียงหัวเราะฮ่าๆ ครืนใหญ่จากเด็กเล็กทั้งหลาย

อวี๋ไฉ่หลิงก็หัวเราะออกมาเช่นกัน อันที่จริงเธอซาบซึ้งใจต่อครอบครัวของอาจู้เป็นอย่างยิ่ง

เมื่อสิบกว่าวันก่อนแม้สติของเธอยังพร่าเลือน แต่ก็สัมผัสได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบด้านไม่ดีแต่อย่างใด ใต้ร่างเป็นฟูกนุ่นบางๆ วางบนไม้กระดานที่แข็งโป๊ก ทั่วห้องหนาวชื้น ในอากาศคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นตุ ทว่านับแต่อาจู้มาถึง เสื้อผ้าบนร่างตลอดจนฟูกผ้าห่มล้วนถูกผลัดเปลี่ยนเป็นวัสดุเนื้อดีที่ทั้งอบอุ่นทั้งนุ่มหนา จากนั้นอาจู้ยังตามหญิงชนบทหลายนางมาร่วมแรงกันขนย้ายเตาที่ให้ไออุ่นขนาดใหญ่เข้ามาอย่างยากลำบาก แล้วจุดเตาจนในห้องมีแต่ไออุ่น ภายหลังปัดกวาดห้องอยู่หลายรอบ อาจู้ยังนำอ้ายเฉ่า* ที่จุดไฟแล้วมารมห้องซึ่งมีขนาดใหญ่เพียงนั้นจนทั่วทุกซอกมุมพร้อมกับตรวจสอบอย่างละเอียดลออ กลัวแต่ว่าจะมีมดแมลงตัวเล็กหลงเหลืออยู่ สุดท้ายยังก่อเตาสำหรับประกอบอาหาร สุมฟืนต้มน้ำแกง ย่างเนื้อให้อวี๋ไฉ่หลิงกินบำรุงทุกวัน เช่นนี้เองอาการป่วยของเธอจึงค่อยดีวันดีคืน ทว่าอาจู้กลับเหน็ดเหนื่อยจนตัวผอมลงหนึ่งวงรอบ

เพียงแต่อาการป่วยที่คร่าชีวิตคนไปหนึ่งชีวิตแล้วนี้มีหรือจะฟื้นตัวได้ง่ายดายปานนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคโบราณที่มาตรฐานการแพทย์ยังต่ำเตี้ยอยู่มาก ต่อให้วันนี้อวี๋ไฉ่หลิงจิตใจปลอดโปร่งก็ยังคงรู้สึกอ่อนแรงเป็นพักๆ ไม่อาจเดินเร็ว ได้แต่ก้าวเนิบๆ วันก่อนเพื่อให้เธอเบิกบานใจ อาจู้ยังหาเกวียนมาเล่มหนึ่ง แล้วสั่งให้ผู้คุ้มกันสองคนพาเธอกับอาเหมยไปเที่ยวชมหมู่บ้าน

แม้อวี๋ไฉ่หลิงไม่รู้จักกฎเกณฑ์ในยุคโบราณนัก แต่ก็รู้ว่าหญิงรับใช้อาวุโสในจวนคนใหญ่คนโตมักมีฐานะสูงกว่าบ่าวอื่นๆ กระนั้นสตรีที่รอบคอบรัดกุมไม่ธรรมดาเช่นอาจู้กลับมาอยู่ในเรือนชนบทเสียได้ เรื่องนี้จะต้องมีปัญหาซ่อนอยู่เป็นแน่

แต่ในเมื่อมาแล้วก็จงทำใจให้สบาย คนเราจะต้องอยู่รอดต่อไปก่อน ถึงสามารถคิดอ่านว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรให้ดี จากนั้นค่อยมารู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายหนาวใจที่ต้องพลัดจากบ้านเกิด อุปนิสัยของอวี๋ไฉ่หลิงรักตนเองและมองโลกบนความเป็นจริงอย่างที่สุด เซลล์รับรู้อารมณ์เศร้าคือสิ่งมีชีวิตที่ใกล้จะสูญพันธุ์แล้วก็ว่าได้ ตอนนี้เธออยู่รอดในสถานการณ์ที่ไม่แน่ชัด ยังจะมีเวลาที่ไหนมาอารมณ์เปราะบางกันเล่า

 

 

* น้ำเต้าที่เลื่อยปากออก ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่พูดน้อยหรือพูดไม่เก่ง

* อ้ายเฉ่า (Artemisia argyi Levl. et Van) เป็นพืชสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุน ใช้ทำยาได้ทั้งต้น ส่วนใบ (อ้ายเยี่ย หรือ เฮี่ยเฮียะ) นิยมทำเป็นแท่งใช้สำหรับรมยา นอกจากนี้ยังใช้จุดไฟไล่แมลงและยุงได้อีกด้วย

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ส.ค. 65  เวลา 12.00 .

5 of 5หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com