บทที่ 2
ทางนี้อวี๋ไฉ่หลิงนึกถึงอาจู้ ทางนั้นฝูอี่กับอาจู้สองสามีภรรยาก็กำลังถกความเห็นเรื่องของเธออยู่เช่นกัน
“วันนี้ข้าเห็นคุณหนูดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก สภาพของนางตอนที่ข้าเพิ่งมาถึงทำให้ข้าตกใจแทบตายจริงๆ” ฝูอี่อาบน้ำเสร็จก็มาเอนหลังพักผ่อนในห้องพักทิศตะวันตกอันอบอุ่น แล้วให้ภรรยาช่วยสางเรือนผม
อาจู้ชะงักหวี เม้มปากเล็กน้อยค่อยเอ่ยตอบ “ตอนที่ท่านมาถึง อาการคุณหนูดีขึ้นมากแล้ว วันนั้นนางหวิดจะเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ เป็นข้าเองที่ประมาทมาช้าไปหลายวัน เดิมทีนึกว่าอาเยวี่ย…” พอเอ่ยถึงชื่อนี้สีหน้านางก็อึมครึม
ฝูอี่มองสีหน้าภรรยาก่อนกล่าว “ใจคนผันแปรได้ง่าย เวลาตั้งสิบปีเชียวนะ ก่อนที่ใต้เท้ากับนายหญิงจะจากไป คุณหนูเพิ่งอายุครบสามขวบ ข้าจำได้ตอนนั้นใต้เท้าอยู่บนหลังม้าก็ยังคงเหลียวมามองไม่เลิกรา ขอบตาถึงกับแดงก่ำแล้ว เจ้าเองก็อย่าตำหนิอาเยวี่ยเลย บุรุษคนเก่าของนางเสียไปตอนอยู่ใต้สังกัดของใต้เท้า บุรุษที่นางหาใหม่ก็มีความเกี่ยวพันกับสกุลเก่ออยู่ก่อน นางยังจะทุ่มเทใจให้นายหญิงได้อย่างไร”
อาจู้ฟาดหวีลงบนโต๊ะเตี้ยก่อนเอ่ยด้วยเสียงที่ดังขึ้น “ดาบกระบี่ไร้ตา กองทัพติดตามใต้เท้าไปแสวงหาอนาคตก็เป็นเรื่องที่เอาแน่ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ไรมานายหญิงปลอบขวัญหญิงม่ายกับบุตรกำพร้าอย่างไม่เคยตระหนี่ มีตกหล่นปากท้องกับเสื้อผ้าของอาเยวี่ยหรือไร นางจะแต่งงานใหม่นายหญิงก็ไม่ได้ขัดขวาง! คราวนั้นลือกันผิดๆ ว่าท่านตายที่เมืองหนานติ้ง ข้าให้ลูกๆ ไว้ทุกข์แล้ว แม้จะต้องหาบุรุษสักคนแต่งงานใหม่ แต่ข้าเคยทำให้งานที่นายหญิงมอบหมายเสียการหรือ! กลัวตาย เฮอะ กลัวตายก็ควรเอาอย่างอาเซียว ให้บุรุษของนางรั้งอยู่ในหมู่บ้านสิ ต่อให้ไม่มีอนาคต ชั่วดีอย่างไรก็ปลอดภัยทั้งครอบครัว แต่นี่จะเอาทั้งอนาคตทั้งความปลอดภัย มีเรื่องดีเพียงนั้นที่ใดกัน!”
ฝูอี่มุมปากกระตุกตุบๆ ความจริงหลังศึกที่เมืองหนานติ้งหนนั้นเขาเร่งฝากคนส่งข่าวกลับบ้านแล้ว จากเริ่มจนจบแค่ไม่กี่เดือนเองนะ เขาจึงอยากท้วงติงภรรยาที่มีความคิดจะแต่งงานใหม่ยิ่งนัก…ผ่านไปสักปีเจ้าค่อยพิจารณาเรื่องแต่งงานใหม่จะเหมาะควรกว่าใช่หรือไม่เล่า
ทว่าสุดท้ายฝูอี่ก็ยังคงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้าอย่าโมโหไปเลย จริงสิ ข้ากลับมาหลายหนก่อนล้วนได้ยินว่าคุณหนูยิ่งโตยิ่งดื้อ ซ้ำยังอารมณ์ร้าย เอะอะก็ทุบตีด่าทอบ่าวรับใช้ ความประพฤติย่ำแย่ แต่ตอนนี้มาเห็นเองข้าว่าคุณหนูอุปนิสัยดียิ่ง ลูกๆ ต่างก็ชอบนางมาก”
อาจู้แค่นเสียงฮึ ก่อนหยิบหวีขึ้นมาสางเรือนผมให้สามีต่อ “ตลอดมาข้าไม่ได้อยู่ในจวน ยังไม่เคยพบปะคุณหนู ทีแรกนึกเพียงว่าสตรีต่ำช้าเหล่านั้นสอนนางจนเสียคน ถึงอย่างไรนางก็ยังเด็ก รอจนนายหญิงกลับมาค่อยสอนใหม่แล้วกัน ใครจะรู้ หึๆ เห็นชัดว่าคุณหนูอัธยาศัยดียิ่ง ฟื้นแล้วพูดจาสุภาพเสมอมา ข้ากลัวว่านางจะอัดอั้นอยู่ในใจ จึงให้อาเหมยพานางไปเที่ยวเล่นทั่วๆ วันนั้นแม่นางใหญ่สกุลชิวออกเรือน ข้าก็ให้ผู้คุ้มกันสองคนที่ท่านมอบแก่ข้าเป็นเพื่อนพวกนางไปชมความครึกครื้น กลับมาแล้วเห็นผลดีดังคาด นางพูดคุยยิ้มเก่งขึ้นมากทีเดียว”
ฝูอี่ผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ เงียบไปครู่เดียวก็โพล่งขึ้น “ผู้เฒ่าชิวแต่งบุตรสาวอีกแล้ว?” ดูเหมือนเขากลับมาทีไรก็จะได้ยินว่าผู้ใหญ่บ้านสูงวัยท่านนี้แต่งบุตรสาว “นี่เขามีบุตรสาวกี่คนกันแน่”
อาจู้ตอบกลั้วหัวเราะ “ข้าก็บอกแล้วว่าเป็นแม่นางใหญ่ ท่านฟังอย่างไรของท่าน สกุลชิวมีบุตรชายสองคน บุตรสาวมีเพียงคนเดียว ทั้งเป็นบุตรสาวที่ได้มายามแก่ตัวแล้ว คราวก่อนท่านกลับมา พอดีแม่นางใหญ่แต่งงานใหม่ ส่วนหนนี้เป็นการแต่งงานหนที่สาม”
ฝูอี่ส่ายหัว “ผู้เฒ่าชิวปล่อยปละบุตรสาวคนนี้เกินไป หญิงม่ายแต่งงานใหม่ไม่เป็นปัญหา แต่นี่สามีของนางยังดีอยู่แท้ๆ นางกลับอาละวาดหย่าร้างไปแต่งงานใหม่เพราะหมายตาบุรุษอื่น เพื่อนบ้านต้องเอาไปพูดกันสนุกปากเป็นแน่”
อาจู้ยิ้มกล่าว “เป็นความจริงว่าสามีที่นางแต่งใหม่ผู้นั้นรูปโฉมชวนมอง อุปนิสัยก็อ่อนโยนด้วย”
ฝูอี่ชำเลืองภรรยา อาจู้ก็มองกลับมาหน้าตาเฉย ฝูอี่หงอลงทันควัน แล้วปลอบใจตนเองว่าบ่าวย่อมจะคล้อยตามนาย เปรียบกับใต้เท้าแล้วยังนับว่าตนมีบารมีของผู้เป็นสามีใช้ได้ วันนั้นนายหญิงชมดูกายกรรมที่จวนแม่ทัพวั่น เอ่ยชมนักกายกรรมร่างกำยำผู้หนึ่งว่าหล่อเหลายิ่ง ใต้เท้ามิเพียงไม่กล้าโต้แย้ง ยังยกสุราเอ่ยผสมโรงด้วย ‘ยังคงเป็นฮูหยินข้าที่ตาถึง แม้เจ้าหนุ่มนั่นด้อยกว่าข้าไปบ้าง แต่ในกลุ่มนักกายกรรมด้วยกันก็นับว่าดูดีที่สุดแล้ว’ แม่ทัพวั่นถึงกับพ่นสุราออกทางรูจมูกโดยตรง ไม่รู้เพราะตกใจหรือโมโหกันแน่
ฝูอี่ถามภรรยาพลางมองไปยังซีกไม้ไผ่เรียวเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ย นี่คือสิ่งที่เขาควบม้าเร็วนำกลับมา “บนสารของนายหญิงเขียนว่าอย่างไรหรือ” เขาไม่รู้หนังสือ
อาจู้ปรายตามองซีกไม้ไผ่นั้นก่อนตอบเนิบๆ “ทุกสิ่งเตรียมพร้อมแล้ว เพียงรอนายหญิงกลับมา”
ฝูอี่ผงกศีรษะ “เมื่อใดเล่า”
“ในสามถึงห้าวันนี่ล่ะ”