ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 1 บทที่ 2 – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 1 บทที่ 2

นางถามคุณหนูว่าวิธีนี้ใครเป็นผู้คิดค้น อาเหมยชิงตอบว่าตอนเชือดหมูชำแหละแบ่งเนื้อ บังเอิญมีเนื้อติดมันชิ้นหนึ่งหล่นลงบนขอบของกระถางไฟที่อยู่ด้านข้าง เนื้อติดมันแนบติดกระถางเหล็ก ทำให้น้ำมันซึมออกมากำจายกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ คุณหนูจึงได้คิดวิธีนี้ออกมา…ความจริงตอนนั้นอาเหมยมัวเล่นสนุกกับกลุ่มเด็กเล็ก ไม่ได้เห็นเนื้อติดมันหล่นบนขอบกระถางไฟแต่อย่างใด เป็นคุณหนูที่เล่าให้อาเหมยฟังหลังจบเหตุการณ์

“น้ำมันรอบนั้นกินหมดแต่แรกแล้วเจ้าค่ะ ทว่าเมื่อวานเชือดไก่ไปหลายตัว บ่าวจึงเจียวน้ำมันจากท้องไก่ไว้จำนวนหนึ่ง ชิมรสแล้วอร่อยทีเดียว” อาจู้ตอบปนยิ้ม ความจริงนี่มิใช่วิธีแปลกใหม่อันใดหรอก เนิ่นนานมาแล้วก็มีคนรองน้ำมันที่หยดออกมาระหว่างย่างเนื้อติดมัน นำไปต้มผักคลุกข้าวก็ให้รสชาติที่ดียิ่ง เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าหัวปลาที่ทอดแล้วนำไปเคี่ยวน้ำแกงจะอร่อยล้ำเช่นนี้ ทั้งไม่มีกลิ่นคาวโดยสิ้นเชิง วิธีนี้ดีก็จริงอยู่ ทว่าใช้ฟืนกับน้ำมันเปลืองเหลือเกิน หากมิใช่ครอบครัวที่มั่งคั่งย่อมจะแบกรับไม่ไหว

คิดมาถึงตรงนี้ อาจู้ก็ยิ่งรู้สึกว่าคุณหนูเฉียบแหลมเกินใคร วันหน้าแต่งงานดูแลครอบครัวจะต้องเป็นแม่ศรีเรือนที่เก่งฉกาจ คำเล่าลือข้างนอกที่ไม่ชวนฟังเหล่านั้นต้องเป็นพวกสตรีต่ำช้าปั้นแต่งออกมาเพื่อทำลายชื่อเสียงของนายหญิงเป็นแน่ ความจริงอาจู้เป็นสตรีที่ปราดเปรื่องผู้หนึ่ง หากมิใช่เพราะภักดีมากเสียจนคิดไปฝ่ายเดียว ก็น่าจะมองออกถึงความผิดปกติของอวี๋ไฉ่หลิงนานแล้ว

อวี๋ไฉ่หลิงฟังจบ ในใจก็สั่นวูบ อย่าได้นึกเชียวว่าคนโบราณหัวทึบ อันที่จริงเว้นแต่ความรู้สมัยใหม่ เธอก็ไม่ได้เหนือกว่าคนโบราณตรงที่ใดเลย วิธีเจียวน้ำมันหมูเธอเพิ่งจะสอนหนเดียว อาจู้ก็ต่อยอดไปเจียวน้ำมันวัว น้ำมันไก่ น้ำมันเป็ดได้ในทันที ถึงขั้นทดลองใส่ขิงแผ่น พริกหอม และจูอวี๋* ลงไปแต่งกลิ่นรส ทำออกมาเป็นน้ำมันพริกกับน้ำมันเครื่องเทศซึ่งเอื้อต่อการเก็บรักษาด้วย หากมิใช่มีสตรีที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้อยู่ อวี๋ไฉ่หลิงก็คงซักไซ้ไล่เลียงอาเหมยตั้งแต่ราชวงศ์กับปีรัชศกปัจจุบันไปจนถึงวงศ์ตระกูลบิดามารดากับบรรพชนแปดรุ่นของร่างนี้นานแล้ว

“ข้าวสาลีเพิ่งหุงสุกหยกๆ จะราดหน้าด้วยเนื้อหมูชุ่มน้ำปรุงรสที่เหนียวข้น แกล้มกับน้ำแกงปลา คุณหนูกินมากๆ หน่อยนะเจ้าคะ” แววตาที่อาจู้ใช้มองอวี๋ไฉ่หลิงเปี่ยมด้วยความรักความเมตตาจนแทบจะกลั่นออกมาเป็นน้ำก็ว่าได้

ที่นี่นิยมอาหารประเภทข้าวยำกับข้าวราดหน้าต่างๆ มักต้มเนื้อสัตว์หรือผักเป็นน้ำราดข้นๆ ราดไปบนข้าวสวยก็จะได้อาหารหนึ่งมื้อแล้ว ในบ้านผู้มั่งมียังจะจัดเนื้อปลาย่างหรือผักดองมาแกล้มเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง อวี๋ไฉ่หลิงชอบรสมือของอาจู้เป็นทุนเดิม จึงทำทีเหนียมอายเพียงเล็กน้อยก็ก้มหน้าเดินเข้าห้องไปล้างมือรอกินข้าว

อาหารมื้อกลางวันหอมหวานถูกปากดังที่คิดไว้ เนื้อหมูชุ่มน้ำปรุงรสข้นๆ คลุกข้าวโชยกลิ่นอบอวลปะทะจมูก น้ำแกงปลาใส่เห็ดให้รสกลมกล่อมสดชื่นลื่นคอ ไม่เพียงแต่พวกเด็กน้อย กระทั่งฝูอี่กับฝูเติงก็เจริญอาหารยิ่งนัก เดิมผู้คนยุคนี้กินอาหารแค่วันละสองมื้อ ทว่าอวี๋ไฉ่หลิงเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก อาจู้แทบอยากให้เด็กสาวกินบำรุงวันละห้ามื้อด้วยซ้ำไป แน่นอนว่ากำไรตกไปที่อาเหมยอาเลี่ยงสองพี่น้องด้วย หลายวันมานี้กินจนใบหน้าเล็กๆ สองดวงอิ่มเอิบทีเดียว

หลังกินอาหารเสร็จ อวี๋ไฉ่หลิงประคองส้มรสหวานฉ่ำหนึ่งผลไปนั่งอังเตาไฟที่แผ่ซ่านไออุ่น พลางฟังอาเหมยเล่าเรื่องซุบซิบของคนในหมู่บ้านเสียงเจื้อยแจ้ว เธอพลันรู้สึกว่าวันเวลาเช่นนี้ไม่เลวเลย อยู่รับโทษนี้ไปตลอดก็ไม่เป็นไร

ใครจะรู้จู่ๆ อาจู้กลับบอกว่า “วันพรุ่งนี้ในจวนจะส่งคนมารับคุณหนูกลับไปนะเจ้าคะ” วาจานี้ไม่ต่างกับน้ำเย็นหนึ่งกระบวยราดโครมลงบนศีรษะของอวี๋ไฉ่หลิง เธอตะลึงค้างอยู่เป็นนาน ไม่รู้จะเริ่มถามที่ใดดี

ความต่างระหว่างคำว่าช่างพูดกับเงียบขรึมก็คือ…หากอวี๋ไฉ่หลิงเอ่ยน้ำตาคลอว่า ‘ข้าคิดถึงท่านพ่อท่านแม่ของข้าแล้ว’ คนช่างพูดจะร่ายยาวตามประเด็นที่เปิดไว้ เริ่มตั้งแต่บิดามารดาของคุณหนูรู้จักกัน รักกัน แต่งงานมีบุตรด้วยกัน ไปจนถึงเหตุใดจึงจากบุตรสาวไป ทว่าคนเงียบขรึมเช่นอาจู้ หากมิใช่ก้มหน้านิ่งไม่พูดจา ก็จะอุทานเสียงหนักคำเดียวว่า ‘นั่นสิ’

หากอวี๋ไฉ่หลิงแสร้งถามด้วยความเคารพรัก ‘อาจู้ รู้หรือไม่ท่านพ่อท่านแม่ข้าเป็นคนเช่นไร’ อาจู้ก็จะตอบกลางๆ เพียงว่า ‘เรื่องของเจ้านาย พวกเราเป็นบ่าวไหนเลยจะกล้าพูดมาก’ อย่างอื่นจะไม่พูดแม้สักประโยค ด้วยเหตุนี้เองกระทั่งบิดามารดาของร่างนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือว่าเสียชีวิตไปแล้วอวี๋ไฉ่หลิงก็ไม่รู้ทั้งสิ้น

หลายวันที่ผ่านมาการเลียบเคียงอ้อมๆ ทำนองนี้อวี๋ไฉ่หลิงเคยทดลองไปไม่รู้กี่หนต่อกี่หนแล้ว แต่ไม่กล้าสอบถามตรงๆ เลยสักที…ถามว่าตอนนี้ใครกุมอำนาจในจวนอยู่หรือ ถามว่าใครเป็นผู้ดูแลความเป็นอยู่ของเธอหรือ ให้ถามถึงสถานการณ์ของบิดามารดาบังเกิดเกล้าหรือ คนมีสติปัญญาแค่ฟังก็รู้แล้วว่าชอบกล นับประสาอะไรกับผู้ที่หลักแหลมเกินใครเช่นอาจู้

เห็นอวี๋ไฉ่หลิงออกอาการขวัญหาย อาจู้ก็ไม่อาจหักใจ อยากจะบอกอะไรกับคุณหนูบ้าง ทว่าพอนึกถึงคำฝากฝังของนายหญิง นางกลับไม่กล้าพูดอะไรมากอีก เพียงเอ่ยสั้นๆ เสียงเบา “คุณหนูไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ ไปหนนี้ทำใจให้สบาย ควรทำเช่นไรก็ทำไปเช่นนั้น”

 

* จูอวี๋ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ปี้เสียเวิง’ แปลว่าผู้เฒ่าปัดรังควาน เป็นไม้พุ่มผลัดใบ ดอกสีเหลือง ผลสีแดงทรงรี เป็นสมุนไพรจีนขึ้นชื่อมาช้านาน

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com