ราวกับเพื่อยืนยันว่าอาการป่วยหนักของอวี๋ไฉ่หลิงก่อนหน้านี้มิใช่เรื่องเท็จ รถม้าแล่นไปถึงกลางทางเธอก็มีไข้ต่ำๆ ขึ้นมาอีก ซ้ำตัวรถที่โคลงเคลงยังทำให้อาหารกลางวันที่เพิ่งจะกินลงไปไม่นานถูกอาเจียนออกมาจนหมด สุดท้ายกระทั่งน้ำดีรสขมยังอาเจียนออกมาแล้ว ในใจผู้ดูแลหลี่หวั่นหวาด จึงยิ่งเร่งให้ผู้บังคับรถกระตุ้นม้า รอจนถึงจวนอย่างไม่ง่ายดาย ไข้ต่ำของอวี๋ไฉ่หลิงก็กลายเป็นไข้สูง ศีรษะปวดแทบจะระเบิด สติรางเลือนจนเห็นไม่ชัดสักนิดว่าจวนนี้มีลักษณะเช่นไร รู้สึกเพียงว่ารถม้าแล่นเข้าสู่ด้านในไปตลอดทาง
ผู้ดูแลหลี่ร้อนใจอยากจะสลัดภาระชิ้นนี้ พอเห็นประตูลานจึงกระโดดลงไปเองโดยไม่มัววางท่ารอให้หญิงรับใช้อาวุโสมาพยุง จากนั้นกึ่งประคองกึ่งลากอวี๋ไฉ่หลิงลงจากรถ แล้วพามุ่งไปทางเรือนใหญ่อย่างเร่งร้อน ยังดีรูปร่างของเด็กสาวยังไม่เจริญวัยเต็มที่ ต่อให้แบกขึ้นหลังเดินไปก็ไม่เปลืองแรงนัก
อวี๋ไฉ่หลิงไข้ขึ้นจนพวงแก้มร้อนแดง ในใจกลับเยาะหยันอย่างเย็นชา ตอนอยู่ในหมู่บ้านชนบท ทุกครั้งที่จะออกไปข้างนอก อาจู้เป็นต้องรอจนตะวันขึ้นสายโด่ง ให้ไอหนาวยามเช้าสลายสิ้นจึงจะยอมพยักหน้า ตอนจะออกจากประตูยิ่งต้องห่อร่างคุณหนูจนมิดชิดค่อยยอมเลิกรา แต่คนพวกนี้เพียงคิดจะรีบจบภารกิจ ถึงกับฉุดดึงเด็กสาวที่กำลังป่วยและสวมชุดชวีจวีเพียงชั้นเดียวออกจากตัวรถอันอบอุ่นมาทั้งอย่างนี้ ต่อให้บอกว่าอาสะใภ้ที่ว่านั่นรักถนอมเจ้าของร่างนี้มากเพียงใด เธอก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด รอไว้วันหน้ามีโอกาสต้องให้คนเลวเหล่านี้กินกำปั้นกันคนละยกระบายแค้นจึงจะถูก!
ไม่ง่ายเลยกว่าอวี๋ไฉ่หลิงจะถูกแบกกึ่งลากมาจนถึงหน้าประตูเรือนใหญ่ อวี๋ไฉ่หลิงเห็นสตรีแต่งกายหรูหราสิบกว่าคนยืนอยู่บนขั้นบันได ทว่าสายตาของเธอพร่าเลือนมองเห็นไม่ค่อยชัดแจ้ง คาดว่าสตรีซึ่งทาหน้าขาววอกในชุดต่วนแพรสีม่วงคลุมเสื้อขนสัตว์ที่ถูกห้อมล้อมอยู่ตรงกลางผู้นั้นก็คืออาสะใภ้คนดีของเธอ เห็นอาสะใภ้คนดีนี้แล้วเธอก็อยากจะหัวเราะออกมา หากผู้ดูแลหลี่ผอมเหมือนตะเกียบหนึ่งข้าง อาสะใภ้คนดีนี้ก็คือตะเกียบอีกข้างหนึ่ง นายบ่าวสองคนยืนด้วยกันสามารถคีบกับข้าวได้พอดี
เก่อซื่อ** เห็นสภาพของอวี๋ไฉ่หลิงก็รีบเอ่ยถาม “หลี่จุย เกิดอันใดขึ้น”
ผู้ดูแลหลี่ตอบอย่างร้อนรน “ฮูหยินเจ้าคะ ครานี้ยุ่งยากแล้ว แม่นางสี่ป่วยมิใช่เบา ตลอดทางนี้ข้าน้อยทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งร้อนใจ กลัวแต่ว่าจะทำให้เรื่องที่ท่านกำชับไว้เสียการ!”
เก่อซื่อมองอวี๋ไฉ่หลิงที่พักนี้ได้อาจู้บำรุงจนขาวอิ่มเอิบสีหน้าเปล่งปลั่ง จากนั้นยังคงวางท่าพูดเนิบนาบอย่างไม่เชื่อ “คงไม่ใช่เสแสร้งกระมัง เด็กน้อยมีโรคมากเพียงนั้นที่ใดกัน” ผู้คนในลานต่างคิดกันในใจ…ฮูหยินพูดพิกลแท้ ยิ่งเป็นเด็กน้อยก็ยิ่งป่วยไข้ได้ง่ายสิ
ตอนนี้เองมือที่มีไตแข็งข้างหนึ่งพลันลูบมาบนหน้าผากของอวี๋ไฉ่หลิง เธอได้ยินเสียงที่ชราภาพเอ่ยขึ้นว่า “แย่แล้ว ร้อนลวกเชียวเจ้าค่ะ ฮูหยิน เช่นนี้จะเกิดเรื่องได้นะเจ้าคะ” จากนั้นเสียงชราภาพก็เอ่ยดังยิ่งกว่าเดิม “ใครก็ได้ รีบไปเชิญหมอมาเร็วเข้า!…เชิญหมอแซ่จางที่อยู่ทิศใต้ของเมืองนะ!”
“ฟู่หมู่*” ดูเหมือนเก่อซื่อจะไม่พอใจสตรีสูงวัยผู้นั้น จึงยื่นมือไปแตะหน้าผากของอวี๋ไฉ่หลิงด้วยตนเอง กระทั่งสัมผัสถูกความร้อนลวกมือ ถึงค่อยอุทานด้วยความตกใจ “กรี๊ด ร้อนถึงเพียงนี้เชียว เร็วเข้า รีบไปเชิญหมอมา!”
อวี๋ไฉ่หลิงเค้นแรงเฮือกสุดท้ายปรือตาขึ้นมอง เพียงเห็นสตรีสูงวัยผมขาวดอกเลาผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างกายเก่อซื่อ แล้วเบื้องหน้าสายตาเธอก็ดำวูบหมดสติไป
ถัดจากนั้นคือขั้นตอนการกรอกยาซ้ำๆ อันคุ้นเคย อวี๋ไฉ่หลิงไม่รู้เลยว่าตนเองหลับไปนานเท่าใด กินยาอย่างมึนๆ งงๆ ลงไปกี่มากน้อย รู้สึกเพียงว่าหนนี้ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเยี่ยม เครื่องนอนใต้ร่างนุ่มหอมกว่าที่เรือนเล็กแห่งนั้น ระดับความอบอุ่นภายในห้องก็สม่ำเสมอและมีอากาศถ่ายเทดียิ่งกว่า แม้แต่มือที่คลายเสื้อกับเช็ดตัวให้เธอก็มีหลายคู่ น่าเสียดายที่การเคลื่อนไหวล้วนไม่อ่อนโยนเท่าอาจู้เลย
เมื่อพอจะมีเรี่ยวแรงขึ้นหน่อย อวี๋ไฉ่หลิงก็ถูกยกตัวขึ้นมาดื่มยาอีก เธอแสนจะเกลียดกลิ่นขมเฝื่อนที่ชวนคลื่นเหียนนี้ คิดว่าเดิมทีตนใกล้จะหายสนิทแล้วแท้ๆ ล้วนเป็นเพราะคนโรคจิตที่พูดไม่รู้ความกลุ่มนี้ทำร้ายตนจนล้มป่วยซ้ำสอง ต้องมากินยาซ้ำซาก ต้องมาทนทุกข์ใหม่อีกรอบ นี่ทำให้ความชิงชังผุดขึ้นในหัวใจอวี๋ไฉ่หลิงอย่างห้ามไม่อยู่ เพียงสะบัดแขนข้างหนึ่งก็ทำให้ถ้วยชามที่อยู่ด้านข้างพลิกคว่ำ บังเกิดเสียงดังเคร้งคร้าง ยาต้มสีน้ำตาลไหลนองบนพื้น ยั่วโมโหเก่อซื่อจนกระทืบเท้าหมายระเบิดโทสะก่นด่าอวี๋ไฉ่หลิง แต่เก่อซื่อก็รู้ว่าเวลานี้ต้องให้เด็กนี่ดีขึ้นโดยเร็วเท่านั้น จึงจำต้องฝืนสะกดกลั้นไฟโทสะไว้
** ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่า ‘ซื่อ’ (แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดขึ้นก็มี ในที่นี้ ‘เก่อซื่อ’ จึงหมายถึงสะใภ้ที่แต่งมาจากสกุลเก่อ
* ฟู่หมู่ หมายถึงพี่เลี้ยง เป็นคำเรียกสตรีอาวุโสซึ่งทำหน้าที่ชี้แนะเลี้ยงดูบุตรธิดาของชนชั้นสูงในสมัยโบราณ